May 06, 2025
01Top_ไดอิจิอินโช
×

Warning

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2015/bfi_028/voque/photo

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2015/bfi_026/compact/photo

×

Notice

There was a problem rendering your image gallery. Please make sure that the folder you are using in the Simple Image Gallery plugin tags exists and contains valid image files. The plugin could not locate the folder:

Interview 2015

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive

โว้ค พร็อพเพอร์ตี้ ลุยคอนโดต่อเนื่อง “VOQUE PLACE CONDOMENIUM SUKHUMVIT 107”

“โว้ค พร็อพเพอร์ตี้” บริษัทย่อยในกลุ่มอพอลโล่  เดินหน้าพัฒนาคอนโดแนวรถไฟฟ้าต่อเนื่อง ล่าสุดแตกแบรนด์ใหม่ “VOQUE PLACE” ผุดโครงการแรก “VOQUE PLACE CONDOMENIUM SUKHUMVIT 107” มูลค่ากว่า 435 ลบ. แย้มเตรียมงัดแลนด์แบงค์ออกมาพัฒนาโครงการใหม่ในอีก 3-4 ปี รวมถึงเปิดเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์-โรงแรมเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ประจำให้บริษัท

คุณวรเทพ ศรีคุรุวาฬ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อพอลโล่ แอสเส็ท จำกัด และบริษัท โว้ค พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองภายใต้แบรนด์ “VOQUE RESIDENTIAL CONDOMINIUM” มาแล้ว 2 โครงการในซอยสุขุมวิท 16 และในซอยสุขุมวิท 31 ล่าสุด บริษัทได้คว้าที่ดินทำเลในซอยสุขุมวิท 107 หรือซอยแบริ่ง มาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ “VOQUE PLACE” โดยทุ่มเงินลงทุนมูลค่า 435 ล้านบาท ก่อสร้างโครงการ “VOQUE PLACE CONDOMENIUM SUKHUMVIT 107” (แบริ่ง 2) บริหารงานโดย บริษัท โว้ค พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

“VOQUE PLACE CONDOMENIUM SUKHUMVIT  107” (แบริ่ง 2) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สไตล์โมเดิร์น คอนเทมโพลารี่ เน้นใช้สีเทาเป็นหลัก ตัวอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร บนพื้นที่ 1 ไร่ 2 งาน จำนวนห้องชุดทั้งหมด 168 ยูนิต โดยห้องชุดจะมีให้เลือกแบบ 1 ห้องนอน เริ่มที่ 33-40.50 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน เริ่มที่ 47.5-48 ตารางเมตร ขณะนี้มียอดขายแล้วกว่า 70% ส่วนความคืบหน้าของโครงการ ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมโอนให้กับลูกค้าได้ประมาณเดือนมีนาคม ปี 2559

“โครงการเราเปิดมา ณ ตอนนี้ ประมาณ 5 เดือนแล้ว เรามีวิธีการทำคอนโดมิเนียมที่ไม่เหมือนกับรายอื่น คือต้องผ่านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคารให้เรียบร้อยก่อน เริ่มลงเสาเข็มแล้วถึงจะเปิดขายโครงการ ที่เราทำแบบนี้เพราะต้องการให้ลูกค้ามั่นใจว่า ทางโครงการมีความสามารถพอที่จะสร้างโครงการแล้วจะจบโครงการได้

ในทางกลับกัน หากเราเปิดขายก่อนโดยยังไม่ผ่านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ใบอนุญาตก่อสร้างอาคารยังไม่ออก ขนาดของอาคารก็มีสิทธิที่จะมีการเปลี่ยนแปลงได้  สมมติว่าทีมงานพิจารณาว่ารูปแบบนี้ไม่เหมาะสม และลูกค้าจ่ายเงินมัดจำมาแล้ว ตอนจบมันต้องเปลี่ยนแปลง เพราะขนาดห้องไม่ได้ มุมห้องไม่ได้ จำนวนห้องไม่ได้ เพราะฉะนั้นวิธีการทำงานของเราใช้เวลาค่อนข้างนาน ตั้งแต่ซื้อที่ดิน ออกแบบ และยื่นสิ่งแวดล้อมและฝ่ายก่อสร้างอาคาร จนได้ใบอนุญาตครบถ้วนทั้งหมด และสามารถเปิดโชว์รูม โดยที่โชว์รูมจะติดรายการไว้ทั้งหมด ว่านี่คือหนังสืออนุมัติสิ่งแวดล้อม อันนี้คือหนังสืออนุมัติของฝ่ายอาคาร ให้ลูกค้ามาดูว่าโฉนดก็อยู่ในชื่อของบริษัทเรียบร้อยแล้ว” คุณวรเทพ กล่าว

คุณวรเทพ กล่าวต่อถึงสาเหตุที่เลือกพัฒนาโครงการในทำเลย่านแบริ่งว่า แบรนด์ VOQUE มีจุดเด่นคือ ทำเลที่ตั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้า เนื่องจากมองว่าการเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน ลดระยะเวลาในการเดินทางได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือตำแหน่งที่ดินในแต่ละแปลงมีทางเข้าออกได้หลายทาง เช่น โครงการที่ผ่านมา “VOQUE RESIDENTIAL CONDOMINIUM SUKHUMVIT 16” ด้านหลังสามารถออกซอยไผ่สิงโต ซอยสุขุมวิท 22 หรือถนนพระราม 4 ได้ โครงการ “VOQUE RESIDENTIAL CONDOMINIUM SUKHUMVIT 31” สามารถเข้าจากซอยสุขุมวิท 31 ได้ และออกไปทางมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ถนนอโศกมนตรี และถนนเพรชบุรีได้

ส่วนโครงการปัจจุบัน “ VOQUE PLACE CONDOMENIUM  SUKHUMVIT 107” มีทางเข้าทางออกได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นสุขุมวิท 107 สุขุมวิท 109  หรือถนนศรีนครินทร์ โดยซอยแบริ่งเป็นซอยชุมชนขนาดใหญ่ มีคอนโดมิเนียมในซอยมากกว่า 20 อาคาร ทั้งสร้างเสร็จแล้วและยังสร้างไม่เสร็จ จากการลงสำรวจพื้นที่พบว่า ซอยแบริ่งเป็นซอยกว้างมีโอกาสเจริญค่อนข้างมาก เพราะว่าการเดินทางโดยรถยนต์สะดวกเนื่องจากเป็นถนน 4 เลน

“จุดเด่นของซอยแบริ่งอีกอย่างคือ มีโรงเรียนเซนต์แอนดรูว์ อินเตอร์เนชั่นแนลสคูล อยู่หน้าปากซอย ที่ไหนมีโรงเรียนและเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่มีจำนวนนักเรียนเยอะก็จะเจริญอยู่แล้ว เพราะผู้ปกครองทั่วไปพยายามจะหาที่อยู่อาศัยที่ใกล้กับโรงเรียน เพื่อให้ลูกหลานสะดวกในการเดินทางมาโรงเรียน โดยไม่ต้องตื่นเช้ามาก ตอนเย็นจะมีเวลาไปเรียนพิเศษหรือว่าออกกำลังกาย มีเวลาในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ส่วนผู้ปกครองไม่ต้องทุ่มเทเวลาในการไปส่งบุตรหลานแล้วยังต้องไปทำงานต่ออีก

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ แบรนด์  VOQUE จะพยายามอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เนื่องจากมองว่าการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า เป็นอะไรที่ค่อนข้างสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน เรื่องเวลานั้นเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราสามารถประหยัดเวลาในการเดินทางได้ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น และนี่คือเหตุผลที่เลือกโลเคชั่นที่แบริ่ง” คุณวรเทพ กล่าว

คุณวรเทพ กล่าวต่อว่า การพัฒนาในแต่ละโครงการของบริษัท ได้แยกกลุ่มเป้าหมายไว้เพื่อให้เห็นกลุ่มลูกค้าได้ชัดเจนขึ้น โดยห้องเล็กสุดของโครงการอยู่ที่ 33.5 ตารางเมตร ซึ่งเป็นการสกรีนลูกค้าได้อย่างอัตโนมัติ โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของโครงการนี้จะเป็นผู้ที่ซื้อไปเพื่อใช้งานจริง

“ลูกค้าของโครงการ  VOQUE ที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเอ็นยูสเซอร์จริงๆ ส่วนใหญ่เกิน 80% คือซื้อแล้วจะอยู่อาศัยเอง ไม่ได้ซื้อมาเพื่อเก็งกำไรหรือขายต่อ  ด้วยขนาดห้องที่มันเป็น 33.5 ตารางเมตร สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้จริง กลุ่มเป้าหมายหลักก็จะเป็นผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานมาเรียนที่โรงเรียนเซนต์แอนดรูว์ ครูที่สอนอยู่ที่โรงเรียน และกลุ่มคนทำงานที่อยู่บริเวณในเมือง คนทำงานธนาคาร คนที่พึ่งเรียนจบใหม่ที่อยากจะซื้อคอนโดมิเนียมในราคาล้านปลายๆ ห้องเป็นแบบ One Bedroom อยู่ได้จริงมี 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น และก็ห้องครัว ลูกค้าของเราคือกลุ่มนี้เป็นหลัก อายุประมาณ 25 ไม่เกิน 40 ปี  ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นกลุ่มที่อัพขึ้นมาคือกลุ่มผู้ปกครองที่ซื้อไว้ให้กับบุตรหลานอยู่อาศัย” คุณวรเทพ กล่าว

{gallery}Biz_Interview/2015/bfi_028/voque/photo{/gallery}

คุณวรเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 3-4 ปีต่อจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะนำที่ดินที่มีอยู่ในเมืองออกมาพัฒนาโครงการใหม่ๆ รวมถึงโครงการที่สร้างรายได้ประจำให้กับบริษัทอย่างเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์และโรงแรม โดยในปีนี้ บริษัทเตรียมก่อสร้างเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ในซอยสุขุมวิท 51 ค่าเช่าประมาณ 30,000-40,000 บาทต่อเดือน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าชาวญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะใช้เวลาสร้างเสร็จภายใน 15-20 เดือน

ส่วนโรงแรมจะสร้างโรงแรมสไตล์บูติกขนาด 40 ห้อง บนที่ดินในย่านสุรวงศ์ คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี และโรงแรมไอบิส สไตล์ แบงคอก พระโขนง (Ibis Styles Bangkok Phra Khanong) เป็นอาคารโรงแรมสูง 25 ชั้น จำนวน 255 ห้อง อยู่ตรงข้าม ถนนสุขุมวิท 71 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุญาตการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive

เอ.ดี เฮ้าส์เทงบกว่า 3 พันลบ. เนรมิตเดอะ แกรนด์จอมเทียน

เอ.ดี เฮ้าส์ทุ่มงบกว่า 3 พันลบ. ผุดโครงการเดอะ แกรนด์จอมเทียน คอนโดมิเนียม พร้อมเดินหน้าเปิด 3 โครงการคุณภาพกรุงเทพฯ หัวหิน และพัทยา มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2 หมื่นลบ. เล็ง Grand Opening มิ.ย. 58

ดร.ธชย ภาพิบูลสถาพร ผู้บริหาร บริษัท เอ.ดี เฮ้าส์ จำกัด เปิดเผยรายละเอียดโครงการเดอะ แกรนด์จอมเทียน คอนโดมิเนียมว่า เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา โดยตั้งอยู่ที่ถนนจอมเทียนสาย 2 บนพื้นที่ประมาณ 7 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ประกอบด้วยอาคารสูง 31 ชั้น 2 อาคารจำนวนรวม 1,500 ยูนิต, อาคารสูง 4 ชั้น 1 อาคาร และอาคารสำนักงาน 4 ชั้น 1 อาคาร ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 80% คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2558

บริษัทเริ่มเปิดการขายเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา ล่าสุดขายได้เกือบหมดแล้ว โดยได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีมาก เนื่องจากราคาที่เหมาะสมคุ้มค่า และจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าทั้งหมดภายในปลายปีนี้ ส่วนกลุ่มเป้าหมายคือลูกค้าระดับกลางขึ้นไปและนักลงทุน ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ 80% เช่น ยุโรป รัสเซีย เป็นต้น

สำหรับอุปสรรคที่พบในการก่อสร้างมีบ้างเล็กน้อย คือเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง เช่น อิฐมวลเบา เป็นต้น เพราะโรงงานที่ผลิตวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และต้องใช้ในเวลาในการฟื้นฟู ด้านแนวทางในการแก้ไขได้พยายามหาอุปกรณ์มาใช้ทดแทน เพื่อจะได้ส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้ทันเวลาตามที่กำหนด

ส่วนจุดเด่นของโครงการเดอะ แกรนด์จอมเทียน คอนโดมิเนียมคือศักยภาพของทำเล โดยตั้งอยู่ห่างจากทะเลไม่มาก สามารถมองเห็นวิวทะเลได้อย่างสวยงาม เนื่องจากคอนโดมิเนียมได้ยกระดับพื้นให้ชั้น 1 สูงเท่ากับอาคารสูง 4 ชั้นจึงทำให้สามารถมองเห็นทะเลได้ทุกยูนิต

ด้านการออกแบบคอนโดมิเนียมของบริษัทจะเน้น 1 แบบต่อ 1 โปรเจค และตัวอาคารเป็นกระจกทั้งหมด ทำให้สามารถมองวิวทิวทัศน์ได้แบบพาโนราม่า นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำลอยฟ้าที่สูง 4 ชั้น และที่จอดรถส่วนตัวบนอาคารพิเศษเพื่อป้องกันความปลอดภัยให้กับลูกค้าร่วมด้วย

ดร.ธชย กล่าวต่อถึงแผนการลงทุนในปี 2558 ว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ ประกอบด้วย กรุงเทพฯ  หัวหิน และพัทยา โดยเป็นคอนโดมิเนียม Low Rise สูง 8 ชั้น เน้นสิ่งอำนวยความสะดวก โดยมีสระว่ายน้ำและสวนน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในโครงการ ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะ Grand Opening ทั้ง 3 โครงการในเดือนมิถุนายน 2558 ที่จะถึงนี้

 

 

“โครงการในกรุงเทพฯ จะดำเนินการภายใต้ชื่อ  A.D Bangkok (RAMA 5) จำนวน 5 อาคาร มี 952 ยูนิต ส่วนโครงการที่พัทยาคือ BLUE OCEAN (PATTAYA) จำนวน 9 อาคาร  1,848 ยูนิต สำหรับโครงการสุดท้ายชื่อโครงการ The Water Beach (HUA-HIN)  จำนวน 12 อาคาร  2,317 ยูนิต” ดร.ธชย กล่าว

 ส่วนจุดเด่นทั้ง 3 โครงการคือราคาที่เหมาะสมและมีโปรโมชั่นที่ดีน่าสนใจให้ลูกค้าได้ตัดสินใจเลือกซื้อได้แบบสุดคุ้ม โดยมีโปรโมชั่นซื้อ 1 ยูนิต แถมฟรีอีก 1 ยูนิต เลือกได้ 2 ทะเล 3 เมือง คือ กรุงเทพฯ-พัทยา-หัวหิน ซึ่งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้กับลูกค้าเพื่อไปพักผ่อนอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสวนน้ำและสกายวอล์คเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าอีกด้วย

โดยทั้ง 3 โครงการจะมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ อาทิ โทรทัศน์, หนังสือพิมพ์ และอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ส่วนด้านการตลาดจะเน้นการจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้าแบบสุดคุ้มและมีการออกบูธเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการให้กับลูกค้าได้รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท

“เราจะเน้นโปรโมชั่นที่คุ้มค่า เรามีจุดเด่นด้านราคาที่เหมาะสม แต่ให้มากกว่าและเน้นการดีไซน์ที่แปลกใหม่เพราะลูกค้าชอบสิ่งใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราจึงต้องเน้นการออกแบบคอนโดมิเนียม 1 แบบต่อ 1 โปรเจคเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า” ดร.ธชย กล่าว

ส่วนแนวโน้มการตลาดในด้านอสังหาริมทรัพย์ปี 2558 ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามคอนโดมิเนียมที่มีราคาสูงอาจจะขายได้ยาก แต่คอนโดมิเนียมในราคาทั่วไปยังขายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากลูกค้ายังมีความต้องการสูงเพราะมองว่าที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยที่ 5

ด้านปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจประกอบด้วย  1. คู่แข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น เช่น พัทยา หัวหิน เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้าพึงพอใจมากที่สุด  2. ธนาคารคุมเข้มในการปล่อยสินเชื่อ ดังนั้นจึงต้องขายในราคาที่เหมาะสม  3. คอนโดมิเนียมที่ออกสู่ตลาดในปัจจุบันมีปริมาณมาก ลูกค้าจึงมีการเปรียบเทียบในการตัดสินใจซื้อมากขึ้น ส่งผลให้การตัดสินใจซื้อชะลอเพื่อเลือกในสิ่งที่ต้องการและคุ้มค่ามากที่สุด

ส่วนแนวทางแก้ไขคือบริษัทจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าเดิมให้คงอยู่ ในขณะเดียวกันก็เพิ่มลูกค้าใหม่ร่วมด้วย ส่วนแผนในอนาคตมีแผนที่จะไปขายโครงการในต่างประเทศ โดยผ่านทางเอเจนซี่ ซึ่งจะเดินทางไปจัดอีเว้นท์ในประเทศต่างๆ  อาทิ ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เป็นต้น โดยจะเริ่มดำเนินการในอีก 2 ปีข้างหน้า ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาข้อมูลเพื่อดำเนินการ

ดร.ธชย กล่าวต่อว่า การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปลายปีนี้ บริษัทจะได้รับผลดีคือการเพิ่มช่องทางให้นักลงทุนต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมและปล่อยเช่าให้นักท่องเที่ยวได้ ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ในอนาคต รวมทั้งจะส่งผลดีในด้านการทำงาน โดยจะมีการแลกเปลี่ยนในระดับหัวหน้างาน ส่งผลให้การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นด้วย ด้านการแข่งขันค่อนข้างจะรุนแรง แต่ไม่ได้เป็นกังวลเนื่องจากบริษัทขายคอนโดมิเนียมในราคาตลาดทั่วไปและมอบสินค้าที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า

ด้านหลักการบริหารตนจะพยายามสร้างทีมขายที่มีความมั่นคง เพื่อจะเติบโตได้ระยะยาวในอนาคต ดังนั้นสิ่งแรกที่จะให้ลูกค้าคือความจริงใจและสร้างพนักงานทุกคนให้มีประสิทธิภาพสูงในการทำงานด้านการบริการลูกค้าและดูแลลูกค้าอย่างทั่วถึง รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับรายละเอียดโครงการแก่ลูกค้าอย่างถูกต้อง

“เราต้องการให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าเราใส่ใจทุกรายละเอียดเพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการระดับมาตรฐาน เมื่อมาซื้อคอนโดมิเนียมกับเรา และได้รับทราบข้อมูลโครงการในเรื่องที่ถูกต้องตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นเราก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีทั้งต่อบริษัทและลูกค้า” ดร.ธชย กล่าว

ดร.ธชย กล่าวในตอนท้ายถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร (CSR) ว่า บริษัทจะจัดทำกิจกรรม CSR เพิ่มมากขึ้น โดยในปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินการหลายโครงการ เช่น การบริจาคของ, ปลูกป่า และเลี้ยงอาหารคนพิการ เป็นต้น ซึ่งตนมองว่าเป็นสิ่งที่ดีเนื่องจากการทำ CSR เป็นสิ่งที่ให้โอกาสสำหรับผู้ด้อยโอกาสและเป็นการคืนกำไรสู่สังคมที่จะสามารถพัฒนาสังคมและประเทศให้ยั่งยืนในอนาคต

อนึ่ง บริษัท เอ.ดี เฮ้าส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตมายาวนานกว่า 10 ปี โดยมีการขยายธุรกิจอยู่ทั่วทุกภาคส่วนของประเทศซึ่งสามารถตอบสนองและยกระดับการใช้ชีวิตของผู้บริโภค ไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นภายใต้เส้นทางที่มั่นคงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ในการลงทุนโครงการต่างๆ ที่ผ่านมามากกว่า 100,000 ยูนิต ไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม, วิลล่า, ทาวน์โฮม และอื่นๆ โดยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ยืนยันถึงความสำเร็จและความมั่นคงของบริษัทและองค์กร ปัจจุบันบริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพธุรกิจและองค์กร โดยมุ่งเน้นความพึงพอใจและผลกำไรตอบแทนของผู้บริโภคทั่วโลกเป็นหลักสำคัญ

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive

“สมาคมอสังหาฯ ไทย” มั่นใจปีนี้ทิศทางสดใส

นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยคาดปี 2558 อสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มฉลุย ฟุ้งเป็นธุรกิจที่สำคัญในการเป็นธุรกิจขับเคลื่อน GDP ของประเทศ ฟันธงฟองสบู่ไม่แตก เหตุจากธนาคารคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ

คุณพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2558 ว่า เมื่อพิจารณาจากตัวเลขและปัจจัยเศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบันแล้ว คาดว่าในปีนี้อสังหาริมทรัพย์จะมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน พร้อมทั้งคาดว่าจะเป็นธุรกิจที่ช่วยขับเคลื่อน GDP ของประเทศที่สำคัญมาก ซึ่งในปี 2557 ที่ผ่านมา สินค้าส่งออกต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตร อาทิ ราคายางพาราที่มีการปรับลดราคาในการรับซื้อ เป็นต้น

“หากมองย้อนไปในปี 2556 อสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตที่สูงมาก ถึงแม้ว่าปลายปี 2556 ถึงต้นปี 2557 จะมีการชุมนุมทางการเมืองและยอดเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง แต่สิ่งที่น่าแปลกคือยอดโอนไม่ลดลงเลย เนื่องจากในระยะเวลาต่อมาราคาที่ดินมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น คนที่จองไว้แล้วจึงรักษาสิทธิ์ เพราะราคาที่ซื้อถูกกว่า อาทิ เราซื้อคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ซึ่งในช่วงต้นปี 2556 มีราคาเพียงตารางเมตร 90,000 บาท แต่ตอนนี้ราคาขึ้นไปกว่า 300,000 บาท คนจึงต้องรีบโอนเพื่อเป็นเจ้าของไว้ในราคาที่ถูกกว่า เป็นต้น” คุณพรนริศ กล่าว

คุณพรนริศ กล่าวต่อถึงยอดขายของอสังหาริมทรัพย์ว่า คาดว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีการดำเนินการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเป็นโครงการที่ตามชานเมืองก็ตามเพื่อรักษาสภาพคล่องของหุ้นบริษัทไว้ ส่วนบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเล็กอาจจะต้องมีการชะลอการลงทุนบ้าง

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ยอดขายน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากในช่วงปลายปี 2557 ที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่หลายโครงการมีมูลค่ารวมแล้วกว่า 60,000-70,000 ล้านบาท และต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 12 เดือนในการโอนเงิน รวมทั้งยังจะได้รับปัจจัยเสริมจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการกระตุ้นยอดโอนอีกด้วยอีกด้วย

คุณพรนริศ กล่าวต่อถึงสภาวะฟองสบู่แตกว่า ปัญหานี้ไม่น่าเกิดขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันรูปแบบการให้สินเชื่อจากธนาคารต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันหลายๆธนาคารมีชาวต่างชาติเข้ามาร่วมบริหารงาน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนด หรือเงื่อนไขต่างๆ ในการให้สินเชื่อ ธนาคารจะมีมาตรการต่างๆ เข้ามาเป็นตัวช่วยในการพิจารณาคัดเลือกที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น

สำหรับปัญหาที่ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังประสบปัญหาอยู่ในปัจจุบัน คุณพรนริศกล่าวว่า ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาแย่งชิงบุคลากรในหลายๆ ฝ่าย อาทิ ฝ่ายบริหาร, ฝ่ายการตลาด และฝ่ายขาย เป็นต้น ทั้งนี้นอกจากบุคลากรภายในองค์กรแล้วยังมีบุคคลภายนอกองค์กร อาทิ ผู้รับเหมาและแรงงาน เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันแรงงานที่ถูกกฎหมายและมีสำมะโนประชากรที่ถูกต้องครบถ้วนมีจำนวนน้อย รวมทั้งมีแรงงานที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิสูจน์สัญชาติเป็นจำนวนมาก จึงทำให้แรงงานไม่เพียงพอต่อการก่อสร้างในปัจจุบัน

“ปัจจุบันแรงงานที่นำเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย มีเอกสารรับรองที่ถูกต้องครบถ้วนมีจำนวนน้อยพอสมควร ส่วนแรงงานที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิสูจน์สัญชาติอีกจำนวนมาก จึงส่งผลให้กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างขาดแคลนแรงงาน นอกจากนี้เมื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ประเทศเพื่อนบ้านก็จะต้องมีการพัฒนาและต้องใช้แรงงานเหล่านั้นด้วยเช่นกัน อาจจะทำให้ปัญหาขาดแคลนแรงงานมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น” คุณพรนริศ กล่าว

คุณพรนริศ กล่าวต่อถึงความพร้อมของผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ในการเข้าสู่ AEC ว่า ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยมีความพร้อมในการเข้ามาของ AEC มากกว่าการขยายตลาดไปในต่างประเทศ เนื่องจากขาดปัจจัยเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม CMLV ที่ยังขาดความพร้อมในเรื่องของกฎหมาย ขั้นตอนภาษี ขั้นตอนต่างๆ รวมทั้งยังขาดกฎหมายการจำนองอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีไฟแนนซ์รองรับการผ่อนบ้าน ส่วนธนาคารเองก็ไม่รับรองเช่นกัน

ดังนั้นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทยจึงต้องมองมิติของ AEC ให้มีความเข้าใจ หากคิดที่จะทำการค้าขายอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม AEC ตนมองว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน อย่างไรก็ตามประเทศไทยอาจจะได้ปัจจัยเสริมในการจำหน่ายวัสดุก่อสร้างให้กับประเทศเพื่อนบ้านแทน เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านให้ความเชื่อมั่นสินค้าจากประเทศไทย ทั้งในเรื่องของแบรนด์สินค้า, ราคา และการขนส่งที่สะดวก เป็นต้น

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive

พิซซ่า ฮัท เปิดแผนธุรกิจปี 58

คุณซาบิน่า ริกซ์วี่ ผู้จัดการทั่วไป “พิซซ่า ฮัท ประเทศไทย” เปิดวิสัยทัศน์การบริหารและตลาดยุคดิจิตอล เดินแผนปรับแบรนด์พิซซ่า ฮัท ประเทศไทย สู่สากล พร้อมตั้งเป้ายอดขายเพิ่มอีกเท่าตัว

Biz Focus : วิสัยทัศน์ในการพัฒนาแบรนด์ พิซซ่า ฮัท สู่ความเป็นสากล
คุณซาบิน่า : เรามีเป้าหมายในการผลักดันให้พิซซ่า ฮัท เป็น The most loved pizza brand in Thailand และตั้งเป้าหมายในการทำยอดขาย ให้เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% ทุกปี โดยยึดแนวทาง 4 ยุทธศาสตร์ คือ  1. ราคาที่สมเหตุสมผล  2. เน้นการบริการจัดส่งแบบมีประสิทธิภาพ  3. การใช้ระบบดิจิตอลในการบริการลูกค้า อาทิ การใช้ระบบ E-Commerce และ Social Media ต่างๆ ในการให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว  4. การให้บริการระดับมาตรฐานโลก เพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ

Biz Focus : แผนในการขยายสาขาและการลงทุน
คุณซาบิน่า : ปัจจุบัน เรามีสาขาทั้งสิ้น 97 สาขา โดยภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ เรามีแผนที่จะขยายสาขาให้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว โดยใช้งบลงทุนมากกว่า 500 ล้านบาท  

Biz Focus : เป้าหมายในการดำเนินธุรกิจและแนวทางในการผลักดันให้ถึงเป้าหมาย
คุณซาบิน่า : เป้าหมายของพิซซ่า ฮัท ประเทศไทย ภายใน 5 ปี คือ การเพิ่มยอดขายไม่ต่ำกว่า 10% ในทุกๆปี ด้วยยุทธศาสตร์การดำเนินงาน 4 ข้อ ได้แก่ 1) พิซซ่าที่ราคาย่อมเยา  2) เน้นการบริการจัดส่งถึงบ้าน  3) เพิ่มกลุ่มผู้ใช้ผ่านระบบดิจิตอล  4) เน้นการบริการระดับมาตรฐานโลก

Biz Focus : มุมมองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคพิซซ่าในประเทศไทย
คุณซาบิน่า : ตอนนี้คนไทยหันมาใช้เทคโนโลยีผ่านระบบดิจิตอลมากขึ้น พิซซ่า ฮัทจึงมีแนวคิดในการพัฒนาช่องทางในการติดต่อผ่านระบบดิจิตอลให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยมีการเปิดใช้งานตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2557 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับการใช้งานที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

นอกจากนั้น เพื่อรองรับกับไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เราได้เปิดตัว Pizza Express ขึ้น 2 สาขา ที่ ห้างฯ เมกะ บางนา และ ห้างฯ ซีคอน สแควร์ ซึ่งเหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อแล้วทานได้เลย โดยไม่ต้องนั่งโต๊ะ ไม่ต้องใช้เวลาคอยนาน

ที่ผ่านมา คนไทยจะเลือกรับประทานพิซซ่าในโอกาสพิเศษๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันคนไทยหันมารรับประทานพิซซ่ากันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงโอกาสพิเศษ เราจึงคิดค้น Pizza One พิซซ่าขนาด 6 นิ้ว ที่ช้วัตถุดิบคุณภาพดี ในราคาย่อมเยาเพียง 99 บาท ที่ให้ลูกค้าสามารถซื้อทานได้บ่อยมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอกินหลายๆคนอีกต่อไป

 

User Rating: 2 / 5

Star ActiveStar ActiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

เอส แอนด์ พีตอกย้ำความสำเร็จรับรางวัลพัฒนาการโลจิสติกส์ดีเด่น

เอส แอนด์ พีโชว์ผลงานเยี่ยมคว้ารางวัลพัฒนาการโลจิสติกส์ดีเด่น ประจำปี 2557 อัดงบกว่า  200 ลบ. ผุด รง.แห่งใหม่ที่ จ.ลำพูน พร้อมขยายสาขาบุกกัมพูชา กระแสตอบรับดีมาก 

คุณกำธร ศิลาอ่อน Chief Supply Chain Officer บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด(มหาชน) ดำเนินธุรกิจร้านอาหารและร้านเบเกอรี่ รวมทั้งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้ชื่อ เอส แอนด์ พี เปิดเผยว่า บริษัทได้รับรางวัลพัฒนาการโลจิสติกส์ดีเด่น ประจำปี 2557  จากสำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม

สำหรับรางวัลนี้นับเป็นเกียรติและสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้บริหารและพนักงาน เนื่องจากเกิดจากการบริหารการจัดการด้านโลจิสติกส์อย่างเป็นระบบและสามารถต่อยอดด้านเทคโนโลยีในการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต จึงเป็นรางวัลที่ส่งผลต่อการพัฒนาระบบการขนส่งให้ดียิ่งขึ้นและเป็นประโยชน์อย่างมากต่อองค์กร

คุณกำธร กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานทั้งหมด 4  แห่ง แบ่งเป็นโรงงานผลิตเบเกอรี่ 3 แห่ง  ส่วนอีก 1 แห่งเป็นโรงงานที่ผลิตอาหาร  ปัจจุบันบริษัทกำลังดำเนินการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 4  อยู่ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเบเกอรี่และตั้งอยู่ที่จังหวัดลำพูน บนพื้นที่ประมาณ 6-7 ไร่ โดยตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน ใช้งบประมาณในการดำเนินการกว่า 200  ล้านบาท สำหรับเครื่องจักรส่วนใหญ่นำเข้าจากยุโรป และจะเปิดอย่างเป็นทางการในปลายเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้

ด้านวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ เนื่องจากพื้นที่ของโรงงานเดิมที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่เช่าและหมดสัญญาบริษัทจึงย้ายโรงงานมาตั้งที่นิคมอุตสาหกรรมลำพูนซึ่งมีระบบสาธารณูปโภคที่ครบครันสะดวกสบายมากกว่า อีกทั้งยังสามารถขยายพื้นที่สำหรับธุรกิจอื่นๆ ได้อีกในอนาคต

นอกจากนี้บริษัทยังได้ขยายสาขาไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีก 1 สาขา เมื่อต้นปี 2557 ที่ผ่านมา โดยตั้งอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ใช้งบประมาณในการดำเนินการกว่า 10 ล้านบาท และได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าดีมาก ในอนาคตมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีกในประเทศเพื่อนบ้าน แต่อยู่ในขั้นตอนการศึกษาข้อมูลว่าจะเป็นประเทศใด

ส่วนด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร (CSR) บริษัทมีการทำระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อไม่ให้เป็นมลพิษต่อชุมชนโดยรอบ เพื่อต้องการให้บริษัทสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน ส่วนโครงการในอนาคตกำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา คาดว่าจะเป็นโครงการโซลาร์รูฟ ซึ่งเป็นระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์

“ตนมองว่าการทำธุรกิจไม่ควรหวังเพียงแค่ผลกำไรเพียงอย่างเดียวควรคืนกลับสู่สังคมและสิ่งแวดล้อมบ้าง จะให้มากหรือน้อย อย่างน้อยก็เป็นการให้ ซึ่งปัจจุบันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ทุกคนควรร่วมมือช่วยเหลือกันในการดูแลและรักษา” คุณกำธร กล่าว

User Rating: 2 / 5

Star ActiveStar ActiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

Dusit International Rebrand and Launch “Dusit Thani Krabi Beach Resort”

Dusit International presented the strategies plan in 3 years to set goals for expanding 30 hotels branch in global market. Also Dusit International and MBK Hotel and Resort announced the launch of the “Dusit Thani Krabi Beach Resort”.

Mr. Rustom Vickers, Group Director of Development  said that Dusit International and MBK Hotel and Resort announced at a signing ceremony and launch of the “Dusit Thani Krabi Beach Resort” on 23 March 2015. Also it was announced Dusit will rebrand the property from 1 July 2015.

The Dusit Thani Krabi Beach Resort, located on a secluded stretch of the beautiful Klong Muang Beach, will boast a fresh, modern-Thai design that capitalizes on the surrounding lush, tropical landscape. The resort will offer 240 spacious and inviting guest rooms, 3 restaurants, 1 bar, 2 beachfront swimming pools, meeting facilities, a Spa, a gym, a club lounge and a kid’s club, making it an excellent choice for leisure travelers and bespoke events.

“In the next 3 years of business plan, the Dusit International continues to pursue international expansion, but Thailand definitely plays a role in our growth plans. The Dusit plan to announced and launch over new 30 hotels such as 15 hotels in China, 5 hotels in Philippine, 5 hotels in Vietnam and Myanmar, and others country in Thailand, Middle East and Asia. Currently the Dusit International is included over 32 hotels. So the Dusit will get the goal about 55 hotels within 3 years. In the next 5 years, the Dusit expect the goal on 75 hotels in global market.” Mr. Rustom Vickers said

Dusit International has over 65 years of experience in the hotel and hospitality field. Founded in 1949 by Honorary Chairperson Thanpuying Chanut Piyaoui, whose first hotel was the Princess on Bangkok's New Road, Dusit International has since acquired a unique portfolio of distinctive hotels, building upon Thai culture and tradition to create a personalized welcome for all guests made distinctive under the Dusit International brand promise; the delivery of an “experience that enlivens the individual spirit, no matter the journey”.

Dusit International comprises unique hotel and resort brands:

Dusit Thani Hotels & Resorts : Traditional Thai grandeur, a rich heritage and world-renowned hospitality. Dusit Thani Hotels & Resorts is an up-market, full-service brand which embodies the richness and tradition of Thai culture.

dusitD2 hotels & resorts : Contemporary colourful chic and a refreshing sense of playfulness. dusitD2 represents a colourful lifestyle – catering to the needs and desires of today’s new generation traveller – with a distinctive combination of chic design, forward-thinking technology, convenience, comfort and smart service.

Dusit Princess Hotels and Resorts : Welcoming – Efficient – Affordable. Dusit Princess Hotels and Resorts are mid-market, full-service properties reflecting the city or area in which they are located. Each hotel or resort, with its own distinctive personality and understated elegance combined with efficient practicality, embraces the culture and character of its surrounds. Welcoming and uncomplicated, Dusit Princess is ideal for the no-nonsense traveller.

Dusit Devarana Hotels & Resorts : An intimate sanctuary of cultured refinement for the exacting well-travelled individual. Catering to the high-powered, discerning sophisticate, Dusit Devarana is a significant niche offering that leverages Dusit International's rich cultural heritage and history of service excellence to offer an intimate, high-end sanctuary experience.

Dusit International is a subsidiary of Dusit Thani Public Company Limited, whose shares are traded on the Stock Exchange of Thailand.

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive

MMS เปิดเกมรุกเร่งขยายสาขารับ AEC

MMS อัดงบ 15-20 ลบ. ผุดสาขาล่าสุดที่จังหวัดอุบลราชธานี รับ AEC เตรียม Grand Opening เม.ย.นี้ เล็งเป้าปีนี้กว่า 400 ลบ. พร้อมลั่นภายในปี 59 ปักธงครบ 24 สาขา

คุณสุเมธ ใจโต กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ MMS ผู้ให้บริการศูนย์รถยนต์ครบวงจร สำหรับรถที่หมดระยะรับประกัน "เอ็มเอ็มเอส บ๊อชคาร์เซอร์วิส" ในเครือบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีศูนย์บริการ MMS ทั้งหมด 11 สาขา โดยตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ  7 สาขา และต่างจังหวัด 4 สาขา ซึ่งประกอบด้วย ระยอง, บางแสน, พัทยา และอุบลราชธานี

สำหรับสาขาบางแสนและพัทยาได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 23-24 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ส่วนสาขาล่าสุดในจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเป็นสาขาที่ 11 จะตั้งอยู่ด้านหลังเซ็นทรัลเฟสติวัล จังหวัดอุบลราชธานี ใช้งบประมาณในการดำเนินการ 15-20 ล้านบาทโดยได้ Soft Opening ไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในจังหวัด ส่วนการ Grand Opening กำหนดไว้ประมาณเดือนเมษายน 2558 ที่จะถึงนี้

นอกจากนี้ บริษัทจะพยายามปรับทัศนคติของลูกค้าให้เข้าใจว่าบริษัทเป็นศูนย์บริการครบวงจรสำหรับรถหมดระยะรับประกัน โดยเมื่อลูกค้าหมดประกันกับศูนย์รถแล้วก็สามารถเข้ามารับการบริการกับศูนย์บริการของบริษัทได้ โดยจะมีราคาถูกกว่าศูนย์บริการที่จำหน่ายรถยนต์อย่างน้อย 20% แต่คุณภาพเทียบเท่ากัน และใช้สินค้า รวมทั้งอะไหล่ผ่านมาตรฐานจากโรงงานผู้ผลิต

“สาขาที่อุบลฯ จะตั้งอยู่ บริเวณพื้นที่จอดรถด้านหลัง เซ็นทรัลพลาซ่า ดังนั้นเมื่อลูกค้านำรถเข้ามารับการบริการกับเราก็สามารถนำรถมาทิ้งไว้ที่เราได้ ในช่วงที่เราทำการซ่อมรถ ลูกค้าสามารถเดินไปช้อปปิ้งหรือทานอาหารแบบสบายๆ โดยไม่ต้องมานั่งรอซ่อมรถ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราคิดเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้รับการบริการอย่างเต็มที่” คุณสุเมธ กล่าว

คุณสุเมธ กล่าวต่อว่า สาขาต่อไปที่จะเปิดเป็นสาขาที่ 12  คาดว่าจะเปิดที่ฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ หรือในหัวเมืองต่างจังหวัดใหญ่ๆ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเปิดที่ภาคใต้ในจังหวัดภูเก็ต สำหรับเหตุผลที่เลือกจังหวัดภูเก็ตเนื่องจากพิจารณาจากศักยภาพในด้านทำเล และปริมาณกลุ่มผู้บริโภคซึ่งมีความต้องการใช้รถเป็นจำนวนมาก ดังนั้นบริษัทจึงต้องการที่ตอบสนองทางด้านบริการให้กับลูกค้าในจังหวัดภูเก็ตให้ได้รับการบริการที่ดีอย่างเต็มที่

ด้านหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกทำเลการเปิดสาขาจะพิจารณาจากพฤติกรรมการใช้รถของผู้บริโภคในปัจจุบันว่ามีความต้องการมากน้อยเพียงใด และเมื่อบริษัทไปเปิดสาขาในสถานที่ใดจะเน้นการบริการเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดเมื่อมาใช้บริการกับบริษัท ส่วนแนวโน้มการให้บริการทั่วๆ ไปจะพยายามให้เข้าถึงลูกค้ามากยิ่งขึ้นเป็นหลัก โดยจะโฟกัสไปที่ศูนย์คอมมูนิตี้มอลล์เพราะลูกค้าสามารถไปเดินช้อปปิ้งได้ขณะเอารถมาใช้บริการกับบริษัท

สำหรับเป้าผลประกอบการในปี 2558 ตั้งเป้าไว้ที่ประมาณกว่า 400 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้เนื่องจากมีการขยายสาขาและการตอบรับจากลูกค้าผ่านการทำโปรโมชั่นต่างๆ ส่วนจุดเด่นของบริษัทคือเป็นธุรกิจที่เป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคในราคาที่คุ้มค่าและเหมาะสม และเป็นธุรกิจของคนไทยจึงสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่เนื่องจากทราบความต้องการของคนในประเทศได้เป็นอย่างดี

คุณสุเมธ กล่าวต่อถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทว่า ภายในปี  2559  คาดว่าจะสามารถเปิดสาขาได้ครบ 24 แห่ง โดยจะคลอบคลุมในพื้นที่หลักของกรุงเทพมหานคร และคลอบคลุมในจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีประชากรผู้บริโภคอยู่เยอะ ซึ่งจะใช้งบลงทุนรวมประมาณกว่า 200 ล้านบาท สำหรับสาขา Stand Alone ใช้งบประมาณ 20-25 ล้านบาท/แห่ง แต่ถ้าอยู่ในคอมมูนิตี้มอลล์และสถานีบริการเชื้อเพลิงจะใช้งบประมาณ 10-15 ล้านบาท/แห่ง

สำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC นับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับบริษัทเนื่องจากบริษัทมีสาขาที่อุบลราชธานี โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และต่อไปจะตั้งที่จังหวัดภูเก็ตดังนั้นในอนาคตจะกระจายในด้านการส่งสินค้าและมาตรฐานได้เท่าเทียมกันในทุกสาขา ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จะตอบสนองผู้บริโภคได้ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี

ด้านหลักการบริหารงาน บริษัทมีวัตถุประสงค์หลักที่ยึดถือปฏิบัติเสมอมาประกอบด้วย  1. การทำธุรกิจจะต้องดึงลูกค้าเพื่อมาอยู่ในจุดศูนย์กลางของบริษัท  2. การทำธุรกิจจะต้องจริงใจเชื่อใจซึ่งกันและกันกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับบริษัท  3. การบริหารการจัดการต้องบริหารอย่างยุติธรรม  4. การสร้างแนวคิดให้พนักงานทำงานเสมือนเป็นธุรกิจของตนเองเพื่อที่จะได้เติบโตไปด้วยกัน

User Rating: 2 / 5

Star ActiveStar ActiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

บีโอไอหนุนจิคุมะเนรมิตโรงงาน จ.ระยอง

จิคุมะ ทุ่มงบกว่า 200 ลบ. ปักหมุดโรงงานผลิตชิ้นส่วนขึ้นรูปที่นิคมอุตฯ เหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ รองรับกลุ่มลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่นที่ย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย ชูจุดเด่นนวัตกรรมการผลิตที่ล้ำสมัย พร้อมการันตีด้วยผลงานในค่ายยานยนต์ชั้นนำจากทั่วโลก

Mr. Eiji Mizutani, Executive Vice President and Managing Director บริษัท จิคุมะ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูปตามความต้องการของลูกค้า  โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแนวคิดริเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูปในประเทศไทย หลังจากได้รับการร้องขอจากกลุ่มลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นที่ย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทยให้มาเปิดโรงงานผลิตที่นี้ เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมเรื่องโลจิสติกส์  และลดต้นทุนในเรื่องส่วนต่างของค่าเงินที่ก่อนหน้านี้จะต้องแปลงค่าเงินจากเงินเยนเป็นดอลล่าร์สหรัฐฯ และจากดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็นเงินบาท

“จิคุมะ ในประเทศไทย ก่อตั้งเดือนมกราคม 2555 ด้วยการลงทุนซื้อที่ดินจากนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง 8.9 ไร่ มีพื้นที่การใช้งานกว่า 14,064 ตร.ม. และต่อมาจัดตั้งบริษัทเมื่อเดือนเมษายนในปีเดียวกัน โดยมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 75 ล้านบาท หลังจากนั้นได้ก่อสร้างโรงงานผลิตเมื่อเดือนกันยายน 2556 โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในเดือนมิถุนายน 2557

เราใช้งบประมาณในการก่อสร้างโรงงานกว่า 200 ล้านบาท โดยเน้นการใช้เครื่องจักรระบบออโตเมติกที่ใช้จำนวนคนคุมเครื่องจักรจำนวน 5 เครื่อง/1 คนเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เราสามารถตรวจสอบคุณภาพ (QC) ได้ทุกขั้นตอนในการผลิตอย่างละเอียดผ่านระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับวัตถุดิบในการผลิต ประเภทอลูมิเนียมและเหล็ก จะนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด” Mr. Eiji Mizutani กล่าว

Mr. Eiji Mizutani กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน บริษัทใช้พื้นที่เพียงครึ่งเดียวจากพื้นที่ทั้งหมด โดยมีกำลังการผลิตกว่า 800,000 ชิ้น/เดือน จากการติดตั้งเครื่องจักรเพียง 3 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น หากติดตั้งเครื่องจักรเต็มพื้นที่คาดว่าจะสามารถรองรับกำลังการผลิตได้ถึง 3,000,000 ชิ้น/เดือน 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนในอนาคตภายใน 5 ปีนี้ สำหรับการก่อสร้างโรงงานหลังใหม่ในพื้นที่ส่วนที่เหลือ เพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้นอีกใน 8 ปีข้างหน้า ซึ่งในขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในโซน 3 เพิ่มเติม พร้อมๆ กับการจัดทำระบบภายในโรงงานเพื่อให้ได้รับมาตรฐาน  ISO 9001 

ส่วนกลุ่มเป้าหมายของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือ กลุ่มลูกค้าที่มีฐานการผลิตอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ฮิตาชิ ฟอร์ด นิสสัน เป็นต้น ซึ่งบริษัทแม่จะรับผิดชอบในการติดต่อเรื่องการซื้อขายและกระจายสินค้าให้แก่ลูกค้าโดยตรง อาทิ สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก, จีน และอินเดีย เป็นต้น  สำหรับส่วนที่สอง คือ กลุ่มลูกค้าที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย เช่น ฮิตาชิ โรงงานฉะเชิงเทราและโคราช และบริษัทค่ายยานยนต์ญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งบริษัทจะส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายไปติดต่อโดยตรง เพื่อเริ่มการตลาดในประเทศไทย

สำหรับสิ่งที่อยากจะฝากไปถึงภาครัฐคือการปรับปรุงและซ่อมแซมถนนเศรษฐกิจเส้น 331 บริเวณถนนสายหลักด้านหน้าทางไปแหลมฉบัง เนื่องจากเป็นถนนเส้นสำคัญที่ใช้ในการขนส่งสินค้าเป็นจำนวนมากทั้งนำเข้าและส่งออกต่างประเทศ  ซึ่งปัจจุบันถึงแม้จะมีระบบการจัดเก็บสินค้าในระหว่างการขนส่งที่รัดกุมแล้ว แต่สินค้าก็ยังเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลในจุดนี้ด้วย

อนึ่ง บริษัท จิคุมะ (ประเทศไทย) จำกัด มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Shizuoka ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน มีโรงงานผลิตในประเทศไทยที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 100 นาที และเดินทางไปท่าเรือแหลมฉบังเพียง 30 นาที

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive

อินทรี ซุปเปอร์บล็อกเพิ่มกำลังการผลิตรุกตลาดปีมะแม

อินทรี ซุปเปอร์บล็อกอัดฉีดเพิ่มกำลังผลิตโรงงานทั้ง 2 แห่ง หวังรุกขยายตลาดลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเต็มพิกัดในปีนี้ พร้อมเล็งโตกว่า 50% ชูจุดเด่นคว้ารางวัล “ฉลากเขียว” เจ้าแรกในไทย

ดร.จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก จำกัด ในเครือบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด(มหาชน) หรือ “ปูนอินทรี” เปิดเผยว่า บริษัทซื้อสินทรัพย์การผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบา (Autoclaved Aerated Concrete) เกรด 4 มาจากบริษัท ซุปเปอร์บล๊อก จำกัด(มหาชน) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2556 ด้วยทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท โดยโรงงานตั้งอยู่ที่ อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี มีเนื้อที่รวม 58  ไร่ 

สำหรับโรงงานที่ จ.สิงห์บุรี  ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ในการปรับปรุงและเพิ่มเครื่องจักรใหม่รวมทั้งปรับปรุงระบบด้าน Safety ให้เป็นไปตามมาตรฐานของปูนอินทรี หลังจากที่ดำเนินการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วในปี 2558 บริษัทจะมีกำลังผลิตเพิ่มเป็น 6.1 ล้านตารางเมตรต่อปี

นอกจากนี้เมื่อปลายปี 2556 บริษัทยังขยายโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ใน อ.เมือง จ.ราชบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ซึ่งเป็นการซื้อสินทรัพย์การผลิตจาก บริษัท พรอสเพอริตี้ คอนกรีต จำกัด ในราคา 200 ล้านบาท และได้ลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรและในส่วนต่างๆ อีกประมาณ 20 ล้านบาท ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 1.6 ล้านตารางเมตรต่อปี

ดร.จิรัฏฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับยอดขายในปี 2557 บริษัทมีการเติบโตกว่าปี 2556 ที่ผ่านมาประมาณ 20%  ส่วนในปี 2558 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตกว่า 50% ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้เนื่องจากมีทีมขายที่เพิ่มขึ้นและมีกลยุทธ์ที่วางแผนผลักดันไปให้ถึงเป้าหมายไว้รองรับอยู่แล้ว ด้านแผนการลงทุนในปี 2558 ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้นและการลด ส่วนการลงทุนภายนอกจะมองหาโอกาสที่จะขยายการลงทุนหรือไปซื้อสินทรัพย์ต่อ

ส่วนการเจาะกลุ่มลูกค้าจะพยายามขยายไปในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะปีนี้จะขยายไปในตลาดภาคใต้ให้เต็มพื้นที่ เนื่องจากมีโรงงานตั้งอยู่ที่ราชบุรีจึงสามารถเดินทางกระจายไปภาคใต้ได้อย่างสะดวก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในปีนี้ที่ตั้งเป้าไว้สูง จึงต้องมีการขยายตลาดไปในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น

“กลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ที่รับงานจากดีเวลลอปเปอร์ใหญ่ๆ รู้จักและใช้อิฐมวลเบา แต่ผู้รับเหมารายย่อยยังไม่ค่อยใช้มากนัก เราจะขยายตลาดมากขึ้น โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าในกรุงเทพฯ เน้นกลุ่มคอนโดมิเนียม ส่วนในต่างจังหวัดเน้นกลุ่มโครงการหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งจะทำให้ตลาดเรากว้างมากขึ้น” ดร.จิรัฏฐ์ กล่าว

ดร.จิรัฏฐ์ กล่าวอีกว่า บริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาเกรด 4 ได้แก่ บล๊อกก่อผนัง แผ่นผนังสำเร็จรูป และเสาเอ็นทับหลังสำเร็จรูป ภายใต้เครื่องหมายการค้า “อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก” โดยใช้เครื่องจักรเทคโนโลยีของ WEHRHAHN จากประเทศเยอรมนี

นอกจากนี้ ยังจำหน่ายวัสดุก่อฉาบของอินทรีมอร์ต้าร์แม๊กซ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาของบริษัทผ่านการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.1505-2541) เป็นรายแรกในประเทศไทย และได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001: 2000 เป็นแห่งแรกของผู้ผลิตคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำในประเทศไทยด้วย

สำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 คาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะบูมแต่จะมีปัญหาด้านแรงงานตามมา เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายในปัจจุบันขาดแคลนแรงงาน ซึ่งถ้าเปิด AEC ค่าแรงในประเทศของแรงงานที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอาจจะมีการปรับตัวสูงขึ้น และอาจส่งผลให้แรงงานที่เคยทำงานอยู่ในประเทศไทยกลับประเทศของตัวเอง ซึ่งจะทำให้เป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับประเทศไทย ส่วนการเตรียมความพร้อมของบริษัทคือบริษัทมีทีมเซลล์ที่ชัดเจนมากขึ้นเพื่อจะบุกทำการตลาดได้อย่างเต็มที่

ส่วนจุดเด่นของบริษัทคือคุณภาพมาตรฐานโดยจะผลิตเฉพาะสินค้าเกรด G4 เท่านั้น โดยล่าสุดบริษัทได้รับรางวัล “ฉลากเขียว” ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อผนังเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาในประเทศไทยจากมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งการที่จะได้รางวัลมานั้น บริษัทต้องพัฒนาและวิจัยขั้นตอนในการผลิตเพื่อให้เกิดกระบวนการ Reuse และ Recycle โดยต้องมีวัตถุดิบที่เป็นการ Reuse และ Recycle เกินกว่า 40% จึงจะได้รับรางวัลดังกล่าว

ด้านกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility หรือ “CSR”) จะมีการจัดกิจกรรมเป็นประจำทุกๆ เดือน สำหรับโรงงานที่ จ.สิงห์บุรี การจัดกิจกรรม CSR ส่วนใหญ่จะเป็นการช่วยเหลือชุมชุนที่อยู่โดยรอบโรงงานในรัศมี 3 กม. อาทิ โรงเรียน, วัด และสถานที่ราชการ เป็นต้น แต่ในปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานที่ จ.ราชบุรีด้วยจึงคาดว่าจะสลับกันทำเดือนละครั้ง โดยมีโจทย์เหมือนกันคือตั้งอยู่ใกล้โรงงานในรัศมี 3 กม. โดยจะช่วยเหลือในสิ่งที่ยังขาดแคลน นอกจากนี้ยังสนับสนุนอิฐมวลเบาโดยนำไปหย่อนไว้ใต้ทะเลเพื่อให้เป็นที่อยู่ของปะการังอีกด้วย

User Rating: 2 / 5

Star ActiveStar ActiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนลเปิดแผนการลงทุนปีแพะ

คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนลประกาศทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2558 ตั้งเป้าเติบโตเฉลี่ย 10-12% ทุ่มงบกว่า 20 ลบ. ผุดศูนย์เบรก เซอร์วิส เซ็นเตอร์ เพิ่มอีก 12-15 แห่งตามหัวเมืองและเขตเศรษฐกิจที่สำคัญทั่วประเทศ ชูจุดเด่น R&D และศูนย์ทดสอบเบรกแห่งแรกและแห่งเดียวในอาเซียน

คุณเกษม อิสระพิทักษ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าเบรกคุณภาพ เปิดเผยว่า ในปี 2558 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-12% ซึ่งมีความมั่นใจว่ามีความเป็นไปได้ เพราะมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนอย่างเช่น การทุ่มงบประมาณกว่า 20 ล้านบาทสำหรับลงทุนเปิดศูนย์เบรก เซอร์วิส เซ็นเตอร์ เพิ่มอีกประมาณ 12-15 ศูนย์ทั่วประเทศ โดยจะมีการพิจารณาจากสถานที่ตั้งของแต่ละศูนย์ตามหัวเมืองและเขตเศรษฐกิจที่สำคัญทั่วประเทศ และจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการตามความพร้อมของแต่ละศูนย์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำให้บริษัทมียอดขายและอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขี้นอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทได้เปิดศูนย์เบรก เซอร์วิส เซ็นเตอร์ แล้ว 2 แห่งคือที่สายไหมและรามคำแหง เพื่อเป็นศูนย์ต้นแบบให้กับศูนย์อื่นๆ โดยบริษัทมีปรัชญาในการจัดตั้งศูนย์เบรก เซอร์วิส เซ็นเตอร์ เพื่อต้องการให้เป็นศูนย์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องของเบรกที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากเบรก ทั้งการใช้เบรกแล้วมีเสียงดัง เบรกไม่อยู่ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเข้ามาที่ศูนย์บริการแล้วต้องได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง รวมทั้งมีการบริการหลังการขายที่ดีด้วย

ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตประมาณ 2 ล้านชุดต่อปี และสามารถรองรับการเพิ่มกำลังการผลิตได้สูงสุดประมาณ 1,200 ล้านชุด นอกจากนี้ ในปี 2558-2559 จะเป็นช่วงที่บริษัทวางแผนลงทุนในอนาคต ทั้งเรื่องของก่อสร้างโรงงานเพิ่มและติดตั้งเทคโนโลยีในการผลิตแบบใหม่ รวมถึงเครื่องทดสอบที่รองรับกฎระเบียบใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

“ในปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC อาจจะมีการกำหนดมาตรฐานและกฎระเบียบใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบเบรกที่จะใช้ร่วมกันในกลุ่มอาเซียน อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ซึ่งอาจจะมีความต้องการมาตรฐานและขอให้มีการบังคับใช้ร่วมกันทั้งกลุ่มอาเซียน เป็นต้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยด้านระบบเบรกมาควบคุม จึงทำให้มีสินค้าหลากหลายมาตรฐานเข้ามาจำหน่ายในประเทศ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตไว้ก่อน” คุณเกษมกล่าว

{gallery}Biz_Interview/2015/bfi_026/compact/photo{/gallery}

คุณเกษมกล่าวต่อถึงการพัฒนาด้านการวิจัยและพัฒนา หรือ R&D ว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 200 ล้านบาท สร้างศูนย์วิจัยและทดสอบเบรกขึ้นเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อประมาณ 8 ปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย เครื่องไดนาโมมิเตอร์ มูลค่าประมาณ 30-50 ล้านบาท จำนวน 2 เครื่อง แบ่งออกเป็น เครื่องสำหรับทดสอบเบรกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลกับรถกระบะ จำนวน 1 เครื่อง นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น

ส่วนอีก 1 เครื่องเป็นเครื่องไดนาโมมิเตอร์ สำหรับทดสอบรถบรรทุกขนาดใหญ่ไปจนถึงรถพ่วง โดยนำเข้าเทคโนโลยีจากประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ภายในโรงงานยังมีแล็บ สำหรับการทดสอบในส่วนของเคมี เพื่อทดสอบแรงบิด แรงเฉือน การทนความร้อนต่างๆ ของผ้าเบรก

“ธุรกิจเบรกไม่ได้ลงทุนแค่เรื่องกำลังการผลิต แต่ต้องลงทุนในเรื่องของความปลอดภัย ดังนั้นต้องมีการลงทุนในเรื่องของเครื่องทดสอบด้วย เราเป็นเพียงรายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเครื่องทดสอบนี้ ส่วนโรงงานที่ผลิตผ้าเบรกอื่นๆ ไม่ได้มีการลงทุนเรื่องเครื่องจักร เพราะเครื่องจักรทดสอบทั้งหมดจะอยู่ที่บริษัทแม่ เราจึงความพร้อมมากในเรื่องของวิจัยและพัฒนา และในอนาคตเราจะสามารถเติบโตไปได้ไกลกว่านี้” คุณเกษมกล่าว

Page Visitor

015659964
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
3661
10617
25286
62783
568659
15659964
Your IP: 3.145.15.153
2025-05-06 08:16
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.