
Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
บีเอสซีเอ็มฟูดส์คว้า 7 Innovation Awards 2015
บีเอสซีเอ็มฟูดส์โชว์ผลงานเยี่ยมโดยข้าวหงษ์ทองพร้อมรับประทานรับรางวัลสุดยอดนวัตกรรมเซเว่น อินโนเวชั่นอวอร์ดส์ 2015 (7 Innovation Awards 2015) ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคในสังคมที่เร่งรีบได้อย่างลงตัว พร้อมเปิดแผนธุรกิจปีนี้ เร่งเครื่องทำตลาดข้าวพร้อมรับประทานและเครื่องดื่มอย่างเต็มที่
คุณทิศพล มานะธัญญา ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท บีเอสซีเอ็มฟูดส์ จำกัด (BSCM Foods) ซึ่งแตกมาจาก บริษัท ในเครือ BSCM ผู้ผลิต ข้าว หงษ์ทอง โดย BSCM Foods ผลิต และ จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร-เครื่องดื่มแปรรูป เช่น ข้าวพร้อมรับประทาน, น้ำนมข้าว และเครื่องดื่มให้ความสดชื่นจากข้าว เปิดเผยว่า ข้าวหงษ์ทองพร้อมรับประทาน (Hongthong ReadyRice) ทั้งข้าวกล้องหอมมะลิ และข้าวหอมมะลิหุงสำเร็จบรรจุในถาดพลาสติกได้รับรางวัลสุดยอดนวัตกรรมเซเว่น อินโนเวชั่นอวอร์ดส์ 2015 (7 Innovation Awards 2015) ประเภท Innovator Awards (ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายแล้ว)
รางวัลนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 แล้ว ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชนโดยมี บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) ผู้บริหารเซเว่นอีเลฟเว่น เป็นผู้นำในการดำเนินการ ร่วมด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ, สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและหน่วยงานอื่นๆ
ส่วนเหตุผลที่บริษัทได้เข้าร่วมประกวดโครงการนี้ เพราะมั่นใจว่าตลาดข้าวพร้อมรับประทานจะมีแนวโน้มการเติบโตอย่างแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้มีการศึกษาเทรนด์ของตลาดนี้มาโดยตลอด และเชื่อว่าในอนาคตตลาดอาหารพร้อมรับประทานจะเติบโตเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น หรือเกาหลี เพราะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในสังคมที่เปลี่ยนไป ต้องเร่งรีบ และต้องการความสะดวกสบายในการบริโภคณ์ได้เป็นอย่างดีในปัจจุบันแต่จะเติบโตช้าหรือเร็ว ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เป็นองค์ประกอบด้วย
“เราใช้เวลาในการวิจัยและสำรวจตลาดนี้กว่า5 ปีเพราะเรารู้ว่าในอนาคต ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายในเรื่องของข้าวพร้อมรับประทานอย่างแน่นอน เราได้มีการพัฒนารูปแบบมาอย่างต่อเนื่องเริ่มตั้งแต่บรรจุในถุงฟอยล์ทนความร้อน ถัดมานำมาบรรจุในถ้วยพลาสติกและท้ายสุดนำมาบรรจุในถาดพลาสติกที่สอดรับกับวิถีการรับประทานอาหารของคนไทยได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายทั่วประเทศในปัจจุบัน เราได้รุกตลาดอย่างเต็มรูปแบบมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว และมั่นใจว่าสินค้านี้มีแนวโน้มเติบโต จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเข้าร่วมประกวดในโครงการนี้ และได้รับรางวัลดังกล่าว” คุณทิศพล กล่าว
คุณทิศพล กล่าวต่อว่าข้าวพร้อมรับประทานหงษ์ทอง (Hongthong Ready Rice) สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความรวดเร็วและสะดวกสบายในการรับประทานได้เป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของคุณภาพ ความสะอาดและความปลอดภัย โดยมีข้าวให้เลือกหลากหลายชนิด ปลอดสารปรุงรสและสารกันบูด สามารถเก็บรักษาได้นานถึง 18 เดือนในอุณหภูมิปกติ สามารถเปิดรับประทานได้ทันทีหรือนำไปอุ่นในไมโครเวฟ 90 วินาทีหรือต้มในน้ำเดือดเป็นเวลา 5 นาที อีกทั้งยังเหมาะสำหรับเป็นอาหารฉุกเฉินสำหรับเหตุการณ์ภัยพิบัติ นอกจากนี้ผู้บริโภคยังสามารถมั่นใจได้ว่าข้าวที่ซื้อเป็นข้าวหอมมะลิและข้าวกล้องหอมมะลิ 100% เพราะเป็นข้าวที่บริษัทคัดเกรดเช่นเดียวกับการส่งออก
“วิธีการที่เราใช้ในการผลิตนั้น จะสามารถ รักษาน้ำในข้าวเอาไว้ได้ และเมื่อลูกค้านำไปอุ่น น้ำข้างในจะทำให้ข้าวครุกรุ่นออกมา ส่งกลิ่นหอมเช่นเดียวกันกับการหุงข้าวด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้า รวมทั้งจะยังคงคุณค่าของสารอาหารเช่นเดิมอีกด้วย” คุณทิศพล กล่าว
ส่วนแนวทางการดำเนินงานที่ทำให้ได้รับรางวัลดังกล่าว เพราะผลิตภัณฑ์ของบริษัทสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีตามที่กล่าวไปแล้วเบื้องต้น ประกอบกับบริษัทถือว่าเป็นตัวจริงในเรื่องข้าว โดยมีความรู้ที่สะสมมาและได้พัฒนามามากกว่า 70 ปีในฐานะผู้ผลิตข้าวสารตรา หงษ์ทองที่คนไทยรู้จักกันดี เรารู้วิธีการหุงข้าวกล้องและข้าวหอมมะลิให้อร่อยที่สุด รู้วิธีการทำให้ข้าวเหมือนเดิมทั้งปี รู้วิธีการเลือกข้าวอย่างไรให้ดีที่สุด เป็นต้น เพราะฉะนั้นในเรื่องวัตถุดิบและความรู้ที่เกี่ยวกับข้าว นับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดี
ทั้งนี้รางวัลดังกล่าวส่งผลดีต่อบริษัท โดยในส่วนของภายในองค์กร นับเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่พนักงานทุกคนเป็นอย่าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ประผลสำเร็จในการดำเนินงานและได้รับการชื่นชมกลับมา อย่างไรก็ตามในส่วนของภายนอกองค์กร ยังต้องการการประชาสัมพันธ์ที่กว้างพอที่จะทำให้ผู้บริโภคที่รู้จักรางวัลนี้ และในฐานะบริษัทที่เข้าร่วมงานนวัตกรรมจึงอยากให้มีการประชาสัมพันธ์รางวัลนี้ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เพื่อเป็นการจูงใจให้บริษัทและภาคเอกชนอื่นๆที่มีความพยายามที่จะวิจัยนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มมากยิ่งขึ้น ส่วนในปีหน้า บริษัทมีแผนที่จะส่งผลิตภัณฑ์เข้าร่วมในโครงการนี้อีกอย่างแน่นอน แต่ยังไม่ระบุว่าเป็นผลิตภัณฑ์ใด
คุณทิศพล กล่าวในตอนท้ายถึงทิศทางการดำเนินงานในปี 2558 ว่า เป้าหมายหลักคือการทำตลาดข้าวหงษ์ทองพร้อมรับประทาน (Hongthong Ready Rice) โดยมุ่งที่จะขยายฐานลูกค้าด้วยการสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้บริโภค เช่น แนะนำผลิตภัณฑ์และให้ทดลองรับประทานมากยิ่งขึ้น เพราะตลาดข้าวพร้อมรับประทานต้องใช้ระยะเวลาในการเติบโต รวมทั้งมีแผนที่รุกตลาดเครื่องดื่มอย่างจริงจังอีกด้วย
“ปัจจุบันผู้บริโภคข้าวพร้อมรับประทานให้การตอบรับเป็นอย่างดี เพราะมั่นใจในมาตรฐานการผลิต อีกทั้งไม่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็น ลูกค้าเป้าหมายจึงเป็นกลุ่มที่ใช้ชีวิตในเมือง และเร่งรีบ แต่มีกำลังซื้อในการใช้สอยพอสมควร หรือตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC เปิดแล้ว คาดว่าตลาดนี้จะมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน สำหรับเป้าหมายในปีนี้ เราตั้งเป้าให้เติบเพิ่มจากปีที่ผ่านมาอีกประมาณ 50%” คุณทิศพล กล่าว
หัวเรือใหญ่ จีเอฟเอ ควักกระเป๋ากว่า 300 ลบ. เติมสาขาใหม่กว่า 100 สาขา
มร.ดาเรน ไวท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอฟเอ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านกาแฟ “Coffee World” ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส ในโอกาสทุ่มงบกว่า 300 ล้านบาท ขยายสาขาใหม่กว่า 100 สาขาในปี 2558 พร้อมปั้นแบรนด์ “โกลด์” เจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้
บิส โฟกัส : แผนการดำเนินงานในปี 2558
มร.ดาเรน ไวท์ : ปัจจุบันบริษัทมีสาขา Coffee World กว่า 100 สาขาทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็นสาขาที่ดำเนินการเอง 70% และเฟรนไชส์ 30%
สำหรับในปี 2558 บริษัทมีแผนที่จะทุ่มงบประมาณกว่า 300 ล้านบาทสำหรับการขยายสาขาในเครือของบริษัทกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์ Coffee World, Cream & Fudge (ร้านไอศกรีม), New York 5th AV. Deli เป็นต้น
โดย 70% ของแผนการลงทุนจะเป็นการขยายสาขาของ Coffee World เป็นหลัก ซึ่งใช้งบประมาณการลงทุนสำหรับพื้นที่ขนาด 50 ตารางเมตร ประมาณ 2-3 ล้านบาทต่อสาขา นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนปรับปรุงสาขาเดิมที่มีอยู่กว่า 100 สาขา อีกประมาณ 10-15% ต่อปี หรือประมาณ 10-15 สาขาต่อปี
บิส โฟกัส : Coffee World Gold แตกต่างจาก Coffee World อย่างไร
มร.ดาเรน ไวท์ : Coffee World Gold จะได้รับแรงบันดาลใจจากการที่เราได้รับการนำเสนอจากผู้บริหารของสยามพารากอนท่านหนึ่งที่ได้แนะนำพื้นที่ว่างในโซน North ของสยามพารากอน ซึ่งเดิมที่เรามีร้าน Coffee World ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของสยามพารากอนอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงเกิดไอเดียว่า ถ้าเราจะเปิดอีกสาขาหนึ่งในสยามพารากอนเหมือนกัน เราควรสร้างความแตกต่างที่เป็นจุดดึงดูดลูกค้า โดยการคิดค้นเมนูอาหารและสไตล์การเสิร์ฟกาแฟให้เป็นแบบพรีเมี่ยมมากขึ้น รวมถึงการตกแต่งร้านในสไตล์ Loft ที่เน้นให้ลูกค้าที่มานั่งทานอาหารและจิบกาแฟที่ร้านรู้สึกรีแลกซ์และสะดวกสบาย
บิส โฟกัส : Signature Menu ของร้าน Coffee World Gold ที่น่าสนใจ
มร.ดาเรน ไวท์ : เราคิดค้นเมนูอาหารขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับร้าน Coffee World Gold สาขาสยามพารากอน ชั้น 1 โซน North เป็นสาขาแรก และสาขาเดียวในปัจจุบัน โดยยกตัวอย่าง Signature Menu 3 เมนู ขึ้นชื่อของทางร้าน ได้แก่
1. Crepe De La Crepe เป็นเมนูที่ใช้เครป 2 แผ่นสอดไส้ด้วยบลูเบอร์รี่ โรยหน้าด้วยซอสบัตเตอร์คาราเมลและซอสราสเบอร์รี่ ตกแต่งจานด้วยผลสตรอว์เบอร์รี่สดและวิปครีม
2. Maple Praline Waffle Pops เป็นแท่งวัฟเฟิล เสริฟพร้อมกับไอกรีมวานิลลา ซอสสตรอว์เบอร์รี่ น้ำเชื่อมเมเปิ้ล และซอสชอคโกแลต
3. Chicken Paprika Crepe เป็นเครป 2 แผ่น สอดไส้ด้วยครีมชิคเก้นปาปริก้า โรยหน้าด้วยเชดดาร์ชีส เสริมพร้อมสลัดและซอสมะเขือเทศ
บิส โฟกัส : ส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจร้านกาแฟในประเทศไทยเป็นอย่างไร
มร.ดาเรน ไวท์ : พูดตามตรงเลยว่า เราไม่สามารถแบ่งสัดส่วนการตลาดของร้านกาแฟในประเทศไทยได้จริงๆ เพราะตลาดร้านกาแฟในประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่มาก มีความหลากหลายของร้าน และกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ร้านกาแฟไทย ร้านกาแฟ local brand และร้านกาแฟ inter brand เป็นต้น แต่ถ้าถามถึงกลุ่มลูกค้าของ Coffee World ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นถึงคนวัยทำงานระดับกลางถึงระดับบริหาร เป็นต้น เพราะบรรยากาศในร้านของเราสามารถนั่งพักผ่อน ทำงาน หรือประชุมเล็กๆ ได้เป็นอย่างดี
ไทวัสดุผุดสาขาที่ 40 “แจ้งวัฒนะ”
ไทวัสดุ เดินหน้าเปิดสาขาใหม่ที่แจ้งวัฒนะ ลำดับที่ 40 ชูเป็นคลังวัสดุก่อสร้าง และตกแต่งบ้านครบวงจร พร้อมโชว์จุดเด่นมีสาขามากที่สุดในประเทศไทยและการให้บริการลูกค้าตามสโลแกน “ครบ ถูก ดี ที่ไทวัสดุ”
คุณชนินทร์ เทียนเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิด “ไทวัสดุ สาขาแจ้งวัฒนะ” จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นสาขาที่ 40 ด้วยพื้นที่ขายกว่า 16,000 ตารางเมตร บนที่ดินกว่า 27,000 ตารางเมตร โดยตั้งอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะซึ่งจะสามารถรองรับความต้องการทางด้านสินค้า และการบริการเกี่ยวกับบ้านได้ครบวงจรให้แก่ชาวนนทบุรี พร้อมครอบคลุมพื้นที่ใกล้เคียง จุดเด่นของสาขานี้ คือเป็นสาขาแรกที่เรานำเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านมาจำหน่าย เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เพราะลูกค้าบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งถ้าหากได้รับความนิยมดี เราก็จะเริ่มจำหน่ายที่สาขาอื่น เพื่อให้ครบทุกคนต้องการเพื่อบ้าน
ด้านหลักเกณฑ์ในการเปิดสาขาใหม่จะพิจารณาจากศักยภาพของการเติบโต ความต้องการของกลุ่มลูกค้า และการแข่งแข่งในตลาดร่วมด้วยทั้งคู่แข่งขันเดิมและคู่แข่งขันหน้าใหม่ที่เข้ามาตีตลาดเพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างครอบคลุมและเป็นผลดีกับบริษัทมากที่สุด
“สาขาต่อไปที่มองไว้ซึ่งจะเปิดเป็นสาขาที่ 41 คาดว่าจะอยู่ในโซนกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ ที่ยังไม่มีวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัย แต่ยังไม่มีข้อสรุปแน่นอนว่าจะเป็นที่ใด เนื่องจากต้องพิจารณาในหลายๆ ด้าน แต่เมื่อเปิดแล้วเราต้องการให้ลูกค้าได้สินค้าที่ทันสมัยตอบโจทย์ความต้องการในทุกด้านเมื่อมาที่ไทวัสดุ” คุณชนินทร์ กล่าว
คุณชนินทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2558 จะมีการพัฒนาในด้านการบริการเพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการสูงสุด และการปรับปรุงสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุดรวมทั้งเพิ่มเติมสินค้าที่ยังขาดเพื่อให้ลูกค้ามีความพึงพอใจสูงสุด เนื่องจากต้องการทำให้ลูกค้านึกถึงบริษัทเป็นลำดับแรกๆ และเป็นที่หนึ่งในใจ เมื่อนึกถึงร้านวัสดุก่อสร้างก็ต้องนึกถึงไทวัสดุ
โดยจะใช้กลยุทธ์การสื่อสารด้านการตลาด การโฆษณา และจัดโปรโมชั่นให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในทุกๆ จังหวัดที่มีสาขาตั้งอยู่ นอกจากนี้จะพัฒนาในเรื่องบัตรสมาชิกและพัฒนาระบบเพื่อ CRM กับลูกค้า เพื่อให้มาซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง และดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ส่วนกลยุทธ์ที่ใช้ในการดำเนินการเพื่อให้เหนือกว่าคู่แข่งคือเน้นการบริการและมีสินค้าครบครันกว่า
นอกจากนี้ไทวัสดุยังมี "บัตรไทการ์ด” บัตรสะสมแต้มของร้านไทวัสดุที่ได้แบ่งรูปแบบตามกลุ่มผู้ซื้อสินค้าออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ 1. บัตรลูกค้า VIP. (บัตรสีแดง) สำหรับบุคคลทั่วไป 2. บัตรสำหรับช่างผู้รับเหมา (บัตรสีเงิน) สำหรับช่าง ผู้รับเหมา เจ้าของโครงการ สถาปนิก วิศวกร มัณฑนากร และผู้จัดซื้อโครงการ 3.บัตรร้านค้าช่วง (บัตรสีทอง) สำหรับร้านค้ารายย่อย หรือผู้ซื้อเพื่อนำไปขายต่อ
ด้านกลุ่มเป้าหมายลูกค้าหลักของบริษัทจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มประกอบด้วย 1. กลุ่มที่เป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ซื้อสินค้าไปตกแต่งบ้านเองโดยตรง 2. กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นกลุ่มที่ซื้อสินค้าเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง โดยจะมีการทำโปรโมชั่นที่เหมาะสมกับทุกกลุ่มไว้รองรับเป็นอย่างดีเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเมื่อมาใช้บริการกับไทวัสดุ
คุณชนินทร์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยให้ประชาชนที่เป็นสมาชิกกับ ธ.ก.ส. สามารถใช้บัตรสินเชื่อเกษตรกรของธนาคารกับบริษัทได้ทุกสาขาซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือในด้านกำลังซื้อของเกษตรกร โดยเริ่มดำเนินการมาแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา
สำหรับจุดเด่นของบริษัทคือการเป็นผู้นำด้านศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศไทยในปัจจุบันนี้ โดยมีสาขาทั้งหมด 40 สาขาทั่วประเทศ และมีสินค้าครบถ้วนตามความต้องการของสินค้าตั้งแต่งานฐานรากไปจนถึงอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ส่วนด้านราคาถือว่าเป็นผู้นำในเรื่องของสินค้าที่มีราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพของสินค้าตามสโลแกน “ครบ ถูก ดี ที่ไทวัสดุ”
คุณชนินทร์กล่าวต่อถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ว่าปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาซื้อสินค้าจากบริษัทมากขึ้น และคาดว่าจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อเปิด AEC อย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้นบริษัทจะต้องมีการปรับตัวในด้านการค้าส่วนชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งด้านการขนส่งสินค้าร่วมด้วย และจะต้องมีการเตรียมสร้างแบรนด์ของบริษัทให้เป็นที่รู้จักของประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นในอนาคต
ส่วนหลักการทำงาน ตนจะเน้นการบริหารคนให้มีความพร้อม เป็นมืออาชีพ และทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ซึ่งจะทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เมื่อทุกคนมีความสุข งานก็จะออกมาดีตามไปด้วย รวมทั้งยังทำให้ทุกคนเข้าใจเป้าหมายองค์กร ซึ่งจะส่งผลให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับที่องค์กรกำหนด
โว้ค พร็อพเพอร์ตี้ ลุยคอนโดต่อเนื่อง “VOQUE PLACE CONDOMENIUM SUKHUMVIT 107”
“โว้ค พร็อพเพอร์ตี้” บริษัทย่อยในกลุ่มอพอลโล่ เดินหน้าพัฒนาคอนโดแนวรถไฟฟ้าต่อเนื่อง ล่าสุดแตกแบรนด์ใหม่ “VOQUE PLACE” ผุดโครงการแรก “VOQUE PLACE CONDOMENIUM SUKHUMVIT 107” มูลค่ากว่า 435 ลบ. แย้มเตรียมงัดแลนด์แบงค์ออกมาพัฒนาโครงการใหม่ในอีก 3-4 ปี รวมถึงเปิดเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์-โรงแรมเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ประจำให้บริษัท
คุณวรเทพ ศรีคุรุวาฬ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อพอลโล่ แอสเส็ท จำกัด และบริษัท โว้ค พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองภายใต้แบรนด์ “VOQUE RESIDENTIAL CONDOMINIUM” มาแล้ว 2 โครงการในซอยสุขุมวิท 16 และในซอยสุขุมวิท 31 ล่าสุด บริษัทได้คว้าที่ดินทำเลในซอยสุขุมวิท 107 หรือซอยแบริ่ง มาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ “VOQUE PLACE” โดยทุ่มเงินลงทุนมูลค่า 435 ล้านบาท ก่อสร้างโครงการ “VOQUE PLACE CONDOMENIUM SUKHUMVIT 107” (แบริ่ง 2) บริหารงานโดย บริษัท โว้ค พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
“VOQUE PLACE CONDOMENIUM SUKHUMVIT 107” (แบริ่ง 2) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สไตล์โมเดิร์น คอนเทมโพลารี่ เน้นใช้สีเทาเป็นหลัก ตัวอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร บนพื้นที่ 1 ไร่ 2 งาน จำนวนห้องชุดทั้งหมด 168 ยูนิต โดยห้องชุดจะมีให้เลือกแบบ 1 ห้องนอน เริ่มที่ 33-40.50 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน เริ่มที่ 47.5-48 ตารางเมตร ขณะนี้มียอดขายแล้วกว่า 70% ส่วนความคืบหน้าของโครงการ ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมโอนให้กับลูกค้าได้ประมาณเดือนมีนาคม ปี 2559
“โครงการเราเปิดมา ณ ตอนนี้ ประมาณ 5 เดือนแล้ว เรามีวิธีการทำคอนโดมิเนียมที่ไม่เหมือนกับรายอื่น คือต้องผ่านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคารให้เรียบร้อยก่อน เริ่มลงเสาเข็มแล้วถึงจะเปิดขายโครงการ ที่เราทำแบบนี้เพราะต้องการให้ลูกค้ามั่นใจว่า ทางโครงการมีความสามารถพอที่จะสร้างโครงการแล้วจะจบโครงการได้
ในทางกลับกัน หากเราเปิดขายก่อนโดยยังไม่ผ่านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ใบอนุญาตก่อสร้างอาคารยังไม่ออก ขนาดของอาคารก็มีสิทธิที่จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ สมมติว่าทีมงานพิจารณาว่ารูปแบบนี้ไม่เหมาะสม และลูกค้าจ่ายเงินมัดจำมาแล้ว ตอนจบมันต้องเปลี่ยนแปลง เพราะขนาดห้องไม่ได้ มุมห้องไม่ได้ จำนวนห้องไม่ได้ เพราะฉะนั้นวิธีการทำงานของเราใช้เวลาค่อนข้างนาน ตั้งแต่ซื้อที่ดิน ออกแบบ และยื่นสิ่งแวดล้อมและฝ่ายก่อสร้างอาคาร จนได้ใบอนุญาตครบถ้วนทั้งหมด และสามารถเปิดโชว์รูม โดยที่โชว์รูมจะติดรายการไว้ทั้งหมด ว่านี่คือหนังสืออนุมัติสิ่งแวดล้อม อันนี้คือหนังสืออนุมัติของฝ่ายอาคาร ให้ลูกค้ามาดูว่าโฉนดก็อยู่ในชื่อของบริษัทเรียบร้อยแล้ว” คุณวรเทพ กล่าว
คุณวรเทพ กล่าวต่อถึงสาเหตุที่เลือกพัฒนาโครงการในทำเลย่านแบริ่งว่า แบรนด์ VOQUE มีจุดเด่นคือ ทำเลที่ตั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้า เนื่องจากมองว่าการเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน ลดระยะเวลาในการเดินทางได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือตำแหน่งที่ดินในแต่ละแปลงมีทางเข้าออกได้หลายทาง เช่น โครงการที่ผ่านมา “VOQUE RESIDENTIAL CONDOMINIUM SUKHUMVIT 16” ด้านหลังสามารถออกซอยไผ่สิงโต ซอยสุขุมวิท 22 หรือถนนพระราม 4 ได้ โครงการ “VOQUE RESIDENTIAL CONDOMINIUM SUKHUMVIT 31” สามารถเข้าจากซอยสุขุมวิท 31 ได้ และออกไปทางมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ถนนอโศกมนตรี และถนนเพรชบุรีได้
ส่วนโครงการปัจจุบัน “ VOQUE PLACE CONDOMENIUM SUKHUMVIT 107” มีทางเข้าทางออกได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นสุขุมวิท 107 สุขุมวิท 109 หรือถนนศรีนครินทร์ โดยซอยแบริ่งเป็นซอยชุมชนขนาดใหญ่ มีคอนโดมิเนียมในซอยมากกว่า 20 อาคาร ทั้งสร้างเสร็จแล้วและยังสร้างไม่เสร็จ จากการลงสำรวจพื้นที่พบว่า ซอยแบริ่งเป็นซอยกว้างมีโอกาสเจริญค่อนข้างมาก เพราะว่าการเดินทางโดยรถยนต์สะดวกเนื่องจากเป็นถนน 4 เลน
“จุดเด่นของซอยแบริ่งอีกอย่างคือ มีโรงเรียนเซนต์แอนดรูว์ อินเตอร์เนชั่นแนลสคูล อยู่หน้าปากซอย ที่ไหนมีโรงเรียนและเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่มีจำนวนนักเรียนเยอะก็จะเจริญอยู่แล้ว เพราะผู้ปกครองทั่วไปพยายามจะหาที่อยู่อาศัยที่ใกล้กับโรงเรียน เพื่อให้ลูกหลานสะดวกในการเดินทางมาโรงเรียน โดยไม่ต้องตื่นเช้ามาก ตอนเย็นจะมีเวลาไปเรียนพิเศษหรือว่าออกกำลังกาย มีเวลาในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ส่วนผู้ปกครองไม่ต้องทุ่มเทเวลาในการไปส่งบุตรหลานแล้วยังต้องไปทำงานต่ออีก
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ แบรนด์ VOQUE จะพยายามอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เนื่องจากมองว่าการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า เป็นอะไรที่ค่อนข้างสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน เรื่องเวลานั้นเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราสามารถประหยัดเวลาในการเดินทางได้ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น และนี่คือเหตุผลที่เลือกโลเคชั่นที่แบริ่ง” คุณวรเทพ กล่าว
คุณวรเทพ กล่าวต่อว่า การพัฒนาในแต่ละโครงการของบริษัท ได้แยกกลุ่มเป้าหมายไว้เพื่อให้เห็นกลุ่มลูกค้าได้ชัดเจนขึ้น โดยห้องเล็กสุดของโครงการอยู่ที่ 33.5 ตารางเมตร ซึ่งเป็นการสกรีนลูกค้าได้อย่างอัตโนมัติ โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของโครงการนี้จะเป็นผู้ที่ซื้อไปเพื่อใช้งานจริง
“ลูกค้าของโครงการ VOQUE ที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเอ็นยูสเซอร์จริงๆ ส่วนใหญ่เกิน 80% คือซื้อแล้วจะอยู่อาศัยเอง ไม่ได้ซื้อมาเพื่อเก็งกำไรหรือขายต่อ ด้วยขนาดห้องที่มันเป็น 33.5 ตารางเมตร สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้จริง กลุ่มเป้าหมายหลักก็จะเป็นผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานมาเรียนที่โรงเรียนเซนต์แอนดรูว์ ครูที่สอนอยู่ที่โรงเรียน และกลุ่มคนทำงานที่อยู่บริเวณในเมือง คนทำงานธนาคาร คนที่พึ่งเรียนจบใหม่ที่อยากจะซื้อคอนโดมิเนียมในราคาล้านปลายๆ ห้องเป็นแบบ One Bedroom อยู่ได้จริงมี 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น และก็ห้องครัว ลูกค้าของเราคือกลุ่มนี้เป็นหลัก อายุประมาณ 25 ไม่เกิน 40 ปี ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นกลุ่มที่อัพขึ้นมาคือกลุ่มผู้ปกครองที่ซื้อไว้ให้กับบุตรหลานอยู่อาศัย” คุณวรเทพ กล่าว
{gallery}Biz_Interview/2015/bfi_028/voque/photo{/gallery}
คุณวรเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 3-4 ปีต่อจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะนำที่ดินที่มีอยู่ในเมืองออกมาพัฒนาโครงการใหม่ๆ รวมถึงโครงการที่สร้างรายได้ประจำให้กับบริษัทอย่างเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์และโรงแรม โดยในปีนี้ บริษัทเตรียมก่อสร้างเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ในซอยสุขุมวิท 51 ค่าเช่าประมาณ 30,000-40,000 บาทต่อเดือน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าชาวญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะใช้เวลาสร้างเสร็จภายใน 15-20 เดือน
ส่วนโรงแรมจะสร้างโรงแรมสไตล์บูติกขนาด 40 ห้อง บนที่ดินในย่านสุรวงศ์ คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี และโรงแรมไอบิส สไตล์ แบงคอก พระโขนง (Ibis Styles Bangkok Phra Khanong) เป็นอาคารโรงแรมสูง 25 ชั้น จำนวน 255 ห้อง อยู่ตรงข้าม ถนนสุขุมวิท 71 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุญาตการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
เอ.ดี เฮ้าส์เทงบกว่า 3 พันลบ. เนรมิตเดอะ แกรนด์จอมเทียน
เอ.ดี เฮ้าส์ทุ่มงบกว่า 3 พันลบ. ผุดโครงการเดอะ แกรนด์จอมเทียน คอนโดมิเนียม พร้อมเดินหน้าเปิด 3 โครงการคุณภาพกรุงเทพฯ หัวหิน และพัทยา มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2 หมื่นลบ. เล็ง Grand Opening มิ.ย. 58
ดร.ธชย ภาพิบูลสถาพร ผู้บริหาร บริษัท เอ.ดี เฮ้าส์ จำกัด เปิดเผยรายละเอียดโครงการเดอะ แกรนด์จอมเทียน คอนโดมิเนียมว่า เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา โดยตั้งอยู่ที่ถนนจอมเทียนสาย 2 บนพื้นที่ประมาณ 7 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ประกอบด้วยอาคารสูง 31 ชั้น 2 อาคารจำนวนรวม 1,500 ยูนิต, อาคารสูง 4 ชั้น 1 อาคาร และอาคารสำนักงาน 4 ชั้น 1 อาคาร ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 80% คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2558
บริษัทเริ่มเปิดการขายเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา ล่าสุดขายได้เกือบหมดแล้ว โดยได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีมาก เนื่องจากราคาที่เหมาะสมคุ้มค่า และจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าทั้งหมดภายในปลายปีนี้ ส่วนกลุ่มเป้าหมายคือลูกค้าระดับกลางขึ้นไปและนักลงทุน ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ 80% เช่น ยุโรป รัสเซีย เป็นต้น
สำหรับอุปสรรคที่พบในการก่อสร้างมีบ้างเล็กน้อย คือเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง เช่น อิฐมวลเบา เป็นต้น เพราะโรงงานที่ผลิตวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และต้องใช้ในเวลาในการฟื้นฟู ด้านแนวทางในการแก้ไขได้พยายามหาอุปกรณ์มาใช้ทดแทน เพื่อจะได้ส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้ทันเวลาตามที่กำหนด
ส่วนจุดเด่นของโครงการเดอะ แกรนด์จอมเทียน คอนโดมิเนียมคือศักยภาพของทำเล โดยตั้งอยู่ห่างจากทะเลไม่มาก สามารถมองเห็นวิวทะเลได้อย่างสวยงาม เนื่องจากคอนโดมิเนียมได้ยกระดับพื้นให้ชั้น 1 สูงเท่ากับอาคารสูง 4 ชั้นจึงทำให้สามารถมองเห็นทะเลได้ทุกยูนิต
ด้านการออกแบบคอนโดมิเนียมของบริษัทจะเน้น 1 แบบต่อ 1 โปรเจค และตัวอาคารเป็นกระจกทั้งหมด ทำให้สามารถมองวิวทิวทัศน์ได้แบบพาโนราม่า นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำลอยฟ้าที่สูง 4 ชั้น และที่จอดรถส่วนตัวบนอาคารพิเศษเพื่อป้องกันความปลอดภัยให้กับลูกค้าร่วมด้วย
ดร.ธชย กล่าวต่อถึงแผนการลงทุนในปี 2558 ว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ ประกอบด้วย กรุงเทพฯ หัวหิน และพัทยา โดยเป็นคอนโดมิเนียม Low Rise สูง 8 ชั้น เน้นสิ่งอำนวยความสะดวก โดยมีสระว่ายน้ำและสวนน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในโครงการ ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะ Grand Opening ทั้ง 3 โครงการในเดือนมิถุนายน 2558 ที่จะถึงนี้
“โครงการในกรุงเทพฯ จะดำเนินการภายใต้ชื่อ A.D Bangkok (RAMA 5) จำนวน 5 อาคาร มี 952 ยูนิต ส่วนโครงการที่พัทยาคือ BLUE OCEAN (PATTAYA) จำนวน 9 อาคาร 1,848 ยูนิต สำหรับโครงการสุดท้ายชื่อโครงการ The Water Beach (HUA-HIN) จำนวน 12 อาคาร 2,317 ยูนิต” ดร.ธชย กล่าว
ส่วนจุดเด่นทั้ง 3 โครงการคือราคาที่เหมาะสมและมีโปรโมชั่นที่ดีน่าสนใจให้ลูกค้าได้ตัดสินใจเลือกซื้อได้แบบสุดคุ้ม โดยมีโปรโมชั่นซื้อ 1 ยูนิต แถมฟรีอีก 1 ยูนิต เลือกได้ 2 ทะเล 3 เมือง คือ กรุงเทพฯ-พัทยา-หัวหิน ซึ่งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้กับลูกค้าเพื่อไปพักผ่อนอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสวนน้ำและสกายวอล์คเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าอีกด้วย
โดยทั้ง 3 โครงการจะมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ อาทิ โทรทัศน์, หนังสือพิมพ์ และอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ส่วนด้านการตลาดจะเน้นการจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้าแบบสุดคุ้มและมีการออกบูธเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการให้กับลูกค้าได้รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท
“เราจะเน้นโปรโมชั่นที่คุ้มค่า เรามีจุดเด่นด้านราคาที่เหมาะสม แต่ให้มากกว่าและเน้นการดีไซน์ที่แปลกใหม่เพราะลูกค้าชอบสิ่งใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราจึงต้องเน้นการออกแบบคอนโดมิเนียม 1 แบบต่อ 1 โปรเจคเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า” ดร.ธชย กล่าว
ส่วนแนวโน้มการตลาดในด้านอสังหาริมทรัพย์ปี 2558 ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามคอนโดมิเนียมที่มีราคาสูงอาจจะขายได้ยาก แต่คอนโดมิเนียมในราคาทั่วไปยังขายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากลูกค้ายังมีความต้องการสูงเพราะมองว่าที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยที่ 5
ด้านปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจประกอบด้วย 1. คู่แข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น เช่น พัทยา หัวหิน เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้าพึงพอใจมากที่สุด 2. ธนาคารคุมเข้มในการปล่อยสินเชื่อ ดังนั้นจึงต้องขายในราคาที่เหมาะสม 3. คอนโดมิเนียมที่ออกสู่ตลาดในปัจจุบันมีปริมาณมาก ลูกค้าจึงมีการเปรียบเทียบในการตัดสินใจซื้อมากขึ้น ส่งผลให้การตัดสินใจซื้อชะลอเพื่อเลือกในสิ่งที่ต้องการและคุ้มค่ามากที่สุด
ส่วนแนวทางแก้ไขคือบริษัทจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าเดิมให้คงอยู่ ในขณะเดียวกันก็เพิ่มลูกค้าใหม่ร่วมด้วย ส่วนแผนในอนาคตมีแผนที่จะไปขายโครงการในต่างประเทศ โดยผ่านทางเอเจนซี่ ซึ่งจะเดินทางไปจัดอีเว้นท์ในประเทศต่างๆ อาทิ ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เป็นต้น โดยจะเริ่มดำเนินการในอีก 2 ปีข้างหน้า ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาข้อมูลเพื่อดำเนินการ
ดร.ธชย กล่าวต่อว่า การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปลายปีนี้ บริษัทจะได้รับผลดีคือการเพิ่มช่องทางให้นักลงทุนต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมและปล่อยเช่าให้นักท่องเที่ยวได้ ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ในอนาคต รวมทั้งจะส่งผลดีในด้านการทำงาน โดยจะมีการแลกเปลี่ยนในระดับหัวหน้างาน ส่งผลให้การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นด้วย ด้านการแข่งขันค่อนข้างจะรุนแรง แต่ไม่ได้เป็นกังวลเนื่องจากบริษัทขายคอนโดมิเนียมในราคาตลาดทั่วไปและมอบสินค้าที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า
ด้านหลักการบริหารตนจะพยายามสร้างทีมขายที่มีความมั่นคง เพื่อจะเติบโตได้ระยะยาวในอนาคต ดังนั้นสิ่งแรกที่จะให้ลูกค้าคือความจริงใจและสร้างพนักงานทุกคนให้มีประสิทธิภาพสูงในการทำงานด้านการบริการลูกค้าและดูแลลูกค้าอย่างทั่วถึง รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับรายละเอียดโครงการแก่ลูกค้าอย่างถูกต้อง
“เราต้องการให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าเราใส่ใจทุกรายละเอียดเพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการระดับมาตรฐาน เมื่อมาซื้อคอนโดมิเนียมกับเรา และได้รับทราบข้อมูลโครงการในเรื่องที่ถูกต้องตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นเราก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีทั้งต่อบริษัทและลูกค้า” ดร.ธชย กล่าว
ดร.ธชย กล่าวในตอนท้ายถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร (CSR) ว่า บริษัทจะจัดทำกิจกรรม CSR เพิ่มมากขึ้น โดยในปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินการหลายโครงการ เช่น การบริจาคของ, ปลูกป่า และเลี้ยงอาหารคนพิการ เป็นต้น ซึ่งตนมองว่าเป็นสิ่งที่ดีเนื่องจากการทำ CSR เป็นสิ่งที่ให้โอกาสสำหรับผู้ด้อยโอกาสและเป็นการคืนกำไรสู่สังคมที่จะสามารถพัฒนาสังคมและประเทศให้ยั่งยืนในอนาคต
อนึ่ง บริษัท เอ.ดี เฮ้าส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตมายาวนานกว่า 10 ปี โดยมีการขยายธุรกิจอยู่ทั่วทุกภาคส่วนของประเทศซึ่งสามารถตอบสนองและยกระดับการใช้ชีวิตของผู้บริโภค ไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นภายใต้เส้นทางที่มั่นคงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ในการลงทุนโครงการต่างๆ ที่ผ่านมามากกว่า 100,000 ยูนิต ไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม, วิลล่า, ทาวน์โฮม และอื่นๆ โดยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ยืนยันถึงความสำเร็จและความมั่นคงของบริษัทและองค์กร ปัจจุบันบริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพธุรกิจและองค์กร โดยมุ่งเน้นความพึงพอใจและผลกำไรตอบแทนของผู้บริโภคทั่วโลกเป็นหลักสำคัญ
“สมาคมอสังหาฯ ไทย” มั่นใจปีนี้ทิศทางสดใส
นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยคาดปี 2558 อสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มฉลุย ฟุ้งเป็นธุรกิจที่สำคัญในการเป็นธุรกิจขับเคลื่อน GDP ของประเทศ ฟันธงฟองสบู่ไม่แตก เหตุจากธนาคารคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ
คุณพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2558 ว่า เมื่อพิจารณาจากตัวเลขและปัจจัยเศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบันแล้ว คาดว่าในปีนี้อสังหาริมทรัพย์จะมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน พร้อมทั้งคาดว่าจะเป็นธุรกิจที่ช่วยขับเคลื่อน GDP ของประเทศที่สำคัญมาก ซึ่งในปี 2557 ที่ผ่านมา สินค้าส่งออกต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตร อาทิ ราคายางพาราที่มีการปรับลดราคาในการรับซื้อ เป็นต้น
“หากมองย้อนไปในปี 2556 อสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตที่สูงมาก ถึงแม้ว่าปลายปี 2556 ถึงต้นปี 2557 จะมีการชุมนุมทางการเมืองและยอดเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง แต่สิ่งที่น่าแปลกคือยอดโอนไม่ลดลงเลย เนื่องจากในระยะเวลาต่อมาราคาที่ดินมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น คนที่จองไว้แล้วจึงรักษาสิทธิ์ เพราะราคาที่ซื้อถูกกว่า อาทิ เราซื้อคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ซึ่งในช่วงต้นปี 2556 มีราคาเพียงตารางเมตร 90,000 บาท แต่ตอนนี้ราคาขึ้นไปกว่า 300,000 บาท คนจึงต้องรีบโอนเพื่อเป็นเจ้าของไว้ในราคาที่ถูกกว่า เป็นต้น” คุณพรนริศ กล่าว
คุณพรนริศ กล่าวต่อถึงยอดขายของอสังหาริมทรัพย์ว่า คาดว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีการดำเนินการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเป็นโครงการที่ตามชานเมืองก็ตามเพื่อรักษาสภาพคล่องของหุ้นบริษัทไว้ ส่วนบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเล็กอาจจะต้องมีการชะลอการลงทุนบ้าง
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ยอดขายน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากในช่วงปลายปี 2557 ที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่หลายโครงการมีมูลค่ารวมแล้วกว่า 60,000-70,000 ล้านบาท และต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 12 เดือนในการโอนเงิน รวมทั้งยังจะได้รับปัจจัยเสริมจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการกระตุ้นยอดโอนอีกด้วยอีกด้วย
คุณพรนริศ กล่าวต่อถึงสภาวะฟองสบู่แตกว่า ปัญหานี้ไม่น่าเกิดขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันรูปแบบการให้สินเชื่อจากธนาคารต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันหลายๆธนาคารมีชาวต่างชาติเข้ามาร่วมบริหารงาน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนด หรือเงื่อนไขต่างๆ ในการให้สินเชื่อ ธนาคารจะมีมาตรการต่างๆ เข้ามาเป็นตัวช่วยในการพิจารณาคัดเลือกที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
สำหรับปัญหาที่ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังประสบปัญหาอยู่ในปัจจุบัน คุณพรนริศกล่าวว่า ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาแย่งชิงบุคลากรในหลายๆ ฝ่าย อาทิ ฝ่ายบริหาร, ฝ่ายการตลาด และฝ่ายขาย เป็นต้น ทั้งนี้นอกจากบุคลากรภายในองค์กรแล้วยังมีบุคคลภายนอกองค์กร อาทิ ผู้รับเหมาและแรงงาน เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันแรงงานที่ถูกกฎหมายและมีสำมะโนประชากรที่ถูกต้องครบถ้วนมีจำนวนน้อย รวมทั้งมีแรงงานที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิสูจน์สัญชาติเป็นจำนวนมาก จึงทำให้แรงงานไม่เพียงพอต่อการก่อสร้างในปัจจุบัน
“ปัจจุบันแรงงานที่นำเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย มีเอกสารรับรองที่ถูกต้องครบถ้วนมีจำนวนน้อยพอสมควร ส่วนแรงงานที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิสูจน์สัญชาติอีกจำนวนมาก จึงส่งผลให้กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างขาดแคลนแรงงาน นอกจากนี้เมื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ประเทศเพื่อนบ้านก็จะต้องมีการพัฒนาและต้องใช้แรงงานเหล่านั้นด้วยเช่นกัน อาจจะทำให้ปัญหาขาดแคลนแรงงานมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น” คุณพรนริศ กล่าว
คุณพรนริศ กล่าวต่อถึงความพร้อมของผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ในการเข้าสู่ AEC ว่า ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยมีความพร้อมในการเข้ามาของ AEC มากกว่าการขยายตลาดไปในต่างประเทศ เนื่องจากขาดปัจจัยเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม CMLV ที่ยังขาดความพร้อมในเรื่องของกฎหมาย ขั้นตอนภาษี ขั้นตอนต่างๆ รวมทั้งยังขาดกฎหมายการจำนองอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีไฟแนนซ์รองรับการผ่อนบ้าน ส่วนธนาคารเองก็ไม่รับรองเช่นกัน
ดังนั้นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทยจึงต้องมองมิติของ AEC ให้มีความเข้าใจ หากคิดที่จะทำการค้าขายอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม AEC ตนมองว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน อย่างไรก็ตามประเทศไทยอาจจะได้ปัจจัยเสริมในการจำหน่ายวัสดุก่อสร้างให้กับประเทศเพื่อนบ้านแทน เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านให้ความเชื่อมั่นสินค้าจากประเทศไทย ทั้งในเรื่องของแบรนด์สินค้า, ราคา และการขนส่งที่สะดวก เป็นต้น
พิซซ่า ฮัท เปิดแผนธุรกิจปี 58
คุณซาบิน่า ริกซ์วี่ ผู้จัดการทั่วไป “พิซซ่า ฮัท ประเทศไทย” เปิดวิสัยทัศน์การบริหารและตลาดยุคดิจิตอล เดินแผนปรับแบรนด์พิซซ่า ฮัท ประเทศไทย สู่สากล พร้อมตั้งเป้ายอดขายเพิ่มอีกเท่าตัว
Biz Focus : วิสัยทัศน์ในการพัฒนาแบรนด์ พิซซ่า ฮัท สู่ความเป็นสากล
คุณซาบิน่า : เรามีเป้าหมายในการผลักดันให้พิซซ่า ฮัท เป็น The most loved pizza brand in Thailand และตั้งเป้าหมายในการทำยอดขาย ให้เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% ทุกปี โดยยึดแนวทาง 4 ยุทธศาสตร์ คือ 1. ราคาที่สมเหตุสมผล 2. เน้นการบริการจัดส่งแบบมีประสิทธิภาพ 3. การใช้ระบบดิจิตอลในการบริการลูกค้า อาทิ การใช้ระบบ E-Commerce และ Social Media ต่างๆ ในการให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว 4. การให้บริการระดับมาตรฐานโลก เพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ
Biz Focus : แผนในการขยายสาขาและการลงทุน
คุณซาบิน่า : ปัจจุบัน เรามีสาขาทั้งสิ้น 97 สาขา โดยภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ เรามีแผนที่จะขยายสาขาให้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว โดยใช้งบลงทุนมากกว่า 500 ล้านบาท
Biz Focus : เป้าหมายในการดำเนินธุรกิจและแนวทางในการผลักดันให้ถึงเป้าหมาย
คุณซาบิน่า : เป้าหมายของพิซซ่า ฮัท ประเทศไทย ภายใน 5 ปี คือ การเพิ่มยอดขายไม่ต่ำกว่า 10% ในทุกๆปี ด้วยยุทธศาสตร์การดำเนินงาน 4 ข้อ ได้แก่ 1) พิซซ่าที่ราคาย่อมเยา 2) เน้นการบริการจัดส่งถึงบ้าน 3) เพิ่มกลุ่มผู้ใช้ผ่านระบบดิจิตอล 4) เน้นการบริการระดับมาตรฐานโลก
Biz Focus : มุมมองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคพิซซ่าในประเทศไทย
คุณซาบิน่า : ตอนนี้คนไทยหันมาใช้เทคโนโลยีผ่านระบบดิจิตอลมากขึ้น พิซซ่า ฮัทจึงมีแนวคิดในการพัฒนาช่องทางในการติดต่อผ่านระบบดิจิตอลให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยมีการเปิดใช้งานตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2557 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับการใช้งานที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น เพื่อรองรับกับไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เราได้เปิดตัว Pizza Express ขึ้น 2 สาขา ที่ ห้างฯ เมกะ บางนา และ ห้างฯ ซีคอน สแควร์ ซึ่งเหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อแล้วทานได้เลย โดยไม่ต้องนั่งโต๊ะ ไม่ต้องใช้เวลาคอยนาน
ที่ผ่านมา คนไทยจะเลือกรับประทานพิซซ่าในโอกาสพิเศษๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันคนไทยหันมารรับประทานพิซซ่ากันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงโอกาสพิเศษ เราจึงคิดค้น Pizza One พิซซ่าขนาด 6 นิ้ว ที่ช้วัตถุดิบคุณภาพดี ในราคาย่อมเยาเพียง 99 บาท ที่ให้ลูกค้าสามารถซื้อทานได้บ่อยมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอกินหลายๆคนอีกต่อไป
เอส แอนด์ พีตอกย้ำความสำเร็จรับรางวัลพัฒนาการโลจิสติกส์ดีเด่น
เอส แอนด์ พีโชว์ผลงานเยี่ยมคว้ารางวัลพัฒนาการโลจิสติกส์ดีเด่น ประจำปี 2557 อัดงบกว่า 200 ลบ. ผุด รง.แห่งใหม่ที่ จ.ลำพูน พร้อมขยายสาขาบุกกัมพูชา กระแสตอบรับดีมาก
คุณกำธร ศิลาอ่อน Chief Supply Chain Officer บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด(มหาชน) ดำเนินธุรกิจร้านอาหารและร้านเบเกอรี่ รวมทั้งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้ชื่อ เอส แอนด์ พี เปิดเผยว่า บริษัทได้รับรางวัลพัฒนาการโลจิสติกส์ดีเด่น ประจำปี 2557 จากสำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม
สำหรับรางวัลนี้นับเป็นเกียรติและสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้บริหารและพนักงาน เนื่องจากเกิดจากการบริหารการจัดการด้านโลจิสติกส์อย่างเป็นระบบและสามารถต่อยอดด้านเทคโนโลยีในการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต จึงเป็นรางวัลที่ส่งผลต่อการพัฒนาระบบการขนส่งให้ดียิ่งขึ้นและเป็นประโยชน์อย่างมากต่อองค์กร
คุณกำธร กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานทั้งหมด 4 แห่ง แบ่งเป็นโรงงานผลิตเบเกอรี่ 3 แห่ง ส่วนอีก 1 แห่งเป็นโรงงานที่ผลิตอาหาร ปัจจุบันบริษัทกำลังดำเนินการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 4 อยู่ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเบเกอรี่และตั้งอยู่ที่จังหวัดลำพูน บนพื้นที่ประมาณ 6-7 ไร่ โดยตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน ใช้งบประมาณในการดำเนินการกว่า 200 ล้านบาท สำหรับเครื่องจักรส่วนใหญ่นำเข้าจากยุโรป และจะเปิดอย่างเป็นทางการในปลายเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้
ด้านวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ เนื่องจากพื้นที่ของโรงงานเดิมที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่เช่าและหมดสัญญาบริษัทจึงย้ายโรงงานมาตั้งที่นิคมอุตสาหกรรมลำพูนซึ่งมีระบบสาธารณูปโภคที่ครบครันสะดวกสบายมากกว่า อีกทั้งยังสามารถขยายพื้นที่สำหรับธุรกิจอื่นๆ ได้อีกในอนาคต
นอกจากนี้บริษัทยังได้ขยายสาขาไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีก 1 สาขา เมื่อต้นปี 2557 ที่ผ่านมา โดยตั้งอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ใช้งบประมาณในการดำเนินการกว่า 10 ล้านบาท และได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าดีมาก ในอนาคตมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีกในประเทศเพื่อนบ้าน แต่อยู่ในขั้นตอนการศึกษาข้อมูลว่าจะเป็นประเทศใด
ส่วนด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร (CSR) บริษัทมีการทำระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อไม่ให้เป็นมลพิษต่อชุมชนโดยรอบ เพื่อต้องการให้บริษัทสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน ส่วนโครงการในอนาคตกำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา คาดว่าจะเป็นโครงการโซลาร์รูฟ ซึ่งเป็นระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์
“ตนมองว่าการทำธุรกิจไม่ควรหวังเพียงแค่ผลกำไรเพียงอย่างเดียวควรคืนกลับสู่สังคมและสิ่งแวดล้อมบ้าง จะให้มากหรือน้อย อย่างน้อยก็เป็นการให้ ซึ่งปัจจุบันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ทุกคนควรร่วมมือช่วยเหลือกันในการดูแลและรักษา” คุณกำธร กล่าว