
Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนลเปิดแผนการลงทุนปีแพะ
คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนลประกาศทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2558 ตั้งเป้าเติบโตเฉลี่ย 10-12% ทุ่มงบกว่า 20 ลบ. ผุดศูนย์เบรก เซอร์วิส เซ็นเตอร์ เพิ่มอีก 12-15 แห่งตามหัวเมืองและเขตเศรษฐกิจที่สำคัญทั่วประเทศ ชูจุดเด่น R&D และศูนย์ทดสอบเบรกแห่งแรกและแห่งเดียวในอาเซียน
คุณเกษม อิสระพิทักษ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าเบรกคุณภาพ เปิดเผยว่า ในปี 2558 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-12% ซึ่งมีความมั่นใจว่ามีความเป็นไปได้ เพราะมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนอย่างเช่น การทุ่มงบประมาณกว่า 20 ล้านบาทสำหรับลงทุนเปิดศูนย์เบรก เซอร์วิส เซ็นเตอร์ เพิ่มอีกประมาณ 12-15 ศูนย์ทั่วประเทศ โดยจะมีการพิจารณาจากสถานที่ตั้งของแต่ละศูนย์ตามหัวเมืองและเขตเศรษฐกิจที่สำคัญทั่วประเทศ และจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการตามความพร้อมของแต่ละศูนย์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำให้บริษัทมียอดขายและอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขี้นอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทได้เปิดศูนย์เบรก เซอร์วิส เซ็นเตอร์ แล้ว 2 แห่งคือที่สายไหมและรามคำแหง เพื่อเป็นศูนย์ต้นแบบให้กับศูนย์อื่นๆ โดยบริษัทมีปรัชญาในการจัดตั้งศูนย์เบรก เซอร์วิส เซ็นเตอร์ เพื่อต้องการให้เป็นศูนย์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องของเบรกที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากเบรก ทั้งการใช้เบรกแล้วมีเสียงดัง เบรกไม่อยู่ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเข้ามาที่ศูนย์บริการแล้วต้องได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง รวมทั้งมีการบริการหลังการขายที่ดีด้วย
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตประมาณ 2 ล้านชุดต่อปี และสามารถรองรับการเพิ่มกำลังการผลิตได้สูงสุดประมาณ 1,200 ล้านชุด นอกจากนี้ ในปี 2558-2559 จะเป็นช่วงที่บริษัทวางแผนลงทุนในอนาคต ทั้งเรื่องของก่อสร้างโรงงานเพิ่มและติดตั้งเทคโนโลยีในการผลิตแบบใหม่ รวมถึงเครื่องทดสอบที่รองรับกฎระเบียบใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
“ในปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC อาจจะมีการกำหนดมาตรฐานและกฎระเบียบใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบเบรกที่จะใช้ร่วมกันในกลุ่มอาเซียน อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ซึ่งอาจจะมีความต้องการมาตรฐานและขอให้มีการบังคับใช้ร่วมกันทั้งกลุ่มอาเซียน เป็นต้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยด้านระบบเบรกมาควบคุม จึงทำให้มีสินค้าหลากหลายมาตรฐานเข้ามาจำหน่ายในประเทศ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตไว้ก่อน” คุณเกษมกล่าว
{gallery}Biz_Interview/2015/bfi_026/compact/photo{/gallery}
คุณเกษมกล่าวต่อถึงการพัฒนาด้านการวิจัยและพัฒนา หรือ R&D ว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 200 ล้านบาท สร้างศูนย์วิจัยและทดสอบเบรกขึ้นเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อประมาณ 8 ปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย เครื่องไดนาโมมิเตอร์ มูลค่าประมาณ 30-50 ล้านบาท จำนวน 2 เครื่อง แบ่งออกเป็น เครื่องสำหรับทดสอบเบรกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลกับรถกระบะ จำนวน 1 เครื่อง นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น
ส่วนอีก 1 เครื่องเป็นเครื่องไดนาโมมิเตอร์ สำหรับทดสอบรถบรรทุกขนาดใหญ่ไปจนถึงรถพ่วง โดยนำเข้าเทคโนโลยีจากประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ภายในโรงงานยังมีแล็บ สำหรับการทดสอบในส่วนของเคมี เพื่อทดสอบแรงบิด แรงเฉือน การทนความร้อนต่างๆ ของผ้าเบรก
“ธุรกิจเบรกไม่ได้ลงทุนแค่เรื่องกำลังการผลิต แต่ต้องลงทุนในเรื่องของความปลอดภัย ดังนั้นต้องมีการลงทุนในเรื่องของเครื่องทดสอบด้วย เราเป็นเพียงรายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเครื่องทดสอบนี้ ส่วนโรงงานที่ผลิตผ้าเบรกอื่นๆ ไม่ได้มีการลงทุนเรื่องเครื่องจักร เพราะเครื่องจักรทดสอบทั้งหมดจะอยู่ที่บริษัทแม่ เราจึงความพร้อมมากในเรื่องของวิจัยและพัฒนา และในอนาคตเราจะสามารถเติบโตไปได้ไกลกว่านี้” คุณเกษมกล่าว
“ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ป” เนรมิต รร.ฮาลาล 4 ดาวแห่งแรกในไทย
ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ปทุ่มงบกว่า 650 ลบ. ผุด “อัล-มีรอซ” โรงแรมฮาลาลระดับ 4 ดาวแห่งแรกในไทย บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ติดถนนรามคำแหง คืบหน้าแล้วกว่า 80% เตรียม Grand Opening ในช่วงต้นปี 59 รองรับนักท่องเที่ยวมุสลิมและการเปิด AEC
คุณสัญญา แสงบุญ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอัล-มีรอซ เปิดเผยว่า บริษัท ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหาร ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 650 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดิน) ในการก่อสร้างโรงแรมดังกล่าว โดยตั้งอยู่บนถนนรามคำแหง ใกล้กับซอยรามคำแหง 5 เขตสวนหลวง และเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อเดือนธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา ขณะนี้มีความคืบหน้าแล้วกว่า 80% คาดจะแล้วเสร็จเดือนมิถุนายนปีนี้
“โรงแรมอัล-มีรอซ เป็นโรงแรมฮาลาลระดับ 4 ดาว ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินของตระกูลมูลทรัพย์ คาดว่าจะ Soft Opening ในช่วงเดือนสิงหาคม 2558 และมีแผน Grand Opening ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2559 สำหรับการคืนทุนจะใช้เวลาประมาณ 5-7 ปี และหากการท่องเที่ยวได้รับความนิยมอาจจะใช้ระยะเวลาคืนทุนที่เร็วกว่าที่ได้ตั้งไว้” คุณสัญญากล่าว
โรงแรมอัล-มีรอซ เป็นโรงแรมสูง 16 ชั้นและชั้นใต้ดิน 1 ชั้น มีห้องพักรวมทั้งสิ้น 250 ห้อง ประกอบด้วย ห้องซูพีเรีย (Superior) จำนวน 182 ห้อง, ห้องดีลักซ์ (Deluxe) จำนวน 64 ห้อง และห้องสวีท (Sweet) จำนวน 4 ห้อง และมีลานจอดรถที่สามารถรองรับรถได้กว่า 700-800 คัน ภายในโรงแรมยังประกอบด้วยห้องประชุมใหญ่ 1 ห้อง ซึ่งรองรับคนได้มากถึง 1,200 คน ส่วนห้อง Seminar และ Conferenced อีก 4 ห้อง รองรับคนได้ประมาณ 100-200 คน
นอกจากนี้ยังมีในส่วนของห้องละหมาด ซึ่งมีการแยกห้องหญิง-ชายอย่างชัดเจน รวมทั้งห้องอาหาร ซึ่งจะประกอบไปด้วย ห้องอาหาร All Day Dining จำนวน 1 ห้อง ซึ่งจะอยู่ที่ชั้น G ในส่วนของบริเวณที่เป็นล็อบบี้, ห้องอาหาร Mediterranean จะอยู่ที่ชั้น 2 โดยจะเอาธีมของอาหาร Mediterranean มาผสมผสานเข้ากับอาหาร AEC เข้าด้วยกัน เป็นต้น รวมทั้งยังมีในส่วนของนันทนาการ ได้แก่ สปา, โยคะ, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ และ Free Wi-Fi เป็นต้น เพื่อรองรับการให้บริการของลูกค้า
ด้านกลุ่มลูกค้าในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม คุณสัญญากล่าวว่า จะเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นมุสลิมที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 50% ส่วนลูกค้าห้องพักจะเจาะกลุ่มลูกค้าที่มาจากในกลุ่มประเทศอาเซียน หรือในกลุ่ม AEC โดยจะเริ่มจากอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, บรูไน, เมียนมาร์, สปป.ลาว, กัมพูชา, สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ที่นับถือศาสนาอิสลาม
คุณสัญญากล่าวต่อว่า โรงแรมอัล-มีรอซ จะถูกออกแบบในสไตล์โมเดิร์น ในขณะเดียวกันก็อิงตามรูปแบบการตกแต่งในรูปแบบ Middle Earth ซึ่งจะมีกลิ่นอายของความเป็นยุโรปและมุสลิมผสมผสานอยู่ด้วยกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวอาคารจะมีโดม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิมอยู่ด้วย ส่วนกรอบประตูหน้าต่างและการตกแต่งภายในโรงแรม จะมีลวดลายและลักษณะตามรูปแบบของอาหรับด้วย
ส่วนวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างโรงแรม คุณสัญญากล่าวว่า โรงแรมแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นเพื่อสร้างความสะดวกสบายและความเชื่อมั่นให้กับชาวมุสลิมที่เข้ามาท่องเที่ยวและอาศัยในกรุงเทพมหานคร โดยภายในโรงแรมจะไม่มีการบริการในส่วนของเครื่องดื่มของมึนเมาต่างๆ และมีบริการอาหารฮาลาล ที่ปรุงถูกต้องตามหลักศาสนาและเป็นไปตามที่หลักศาสนาอนุมัติอย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ โรงแรมอัล-มีรอซ ยังสามารถกล่าวได้ว่า เป็นโรงแรมฮาลาลระดับ 4 ดาวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากโรงแรมฮาลาลอื่นๆ ในประเทศยังไม่มีให้บริการในระดับ 4 ดาว และจำนวนห้องพักยังไม่สูงเท่ากับของโรงแรมอัล-มีรอซ รวมทั้งโรงแรมอัล-มีรอซยังมีมาตรฐานในการให้บริการระดับนานาชาติ (International Standard) ทั้งในส่วนของอุปกรณ์ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ เป็นต้น
“หลายโรงแรมในประเทศไทย พยายามจะทำในเรื่องฮาลาล แต่ก็ยังไม่มีใครที่จะทำสำเร็จ เนื่องจากว่าไม่ได้เป็นมุสลิมโดยกำเนิด แต่ที่นี่เจ้าของและพี่น้องของเจ้าของเป็นมุสลิมมาตั้งแต่เกิด และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องของฮาลาลเป็นอย่างดี จึงทำให้มีความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือมากกว่า ซึ่งสามารถการันตีได้ว่าเราทำอย่างถูกหลักศาสนาอย่างแน่นอน” คุณสัญญากล่าว
ด้านการให้การบริการ ทางโรงแรมมีความพร้อมในการให้บริการที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น หากกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ชาย ทางโรงแรมก็จะให้พนักงานที่เป็นผู้ชายเป็นผู้ให้บริการและดูแลลูกค้า หากเป็นกลุ่มผู้หญิงมากกว่าจะให้พนักงานที่เป็นผู้หญิงเข้าไปดูแลเช่นกัน นอกจากนี้ชุดของพนักงานมีการออกแบบที่มิดชิด แขนเสื้อและกระโปรงไม่สั้น เพื่อให้คนที่มาใช้บริการและคนที่ให้บริการเกิดความสบายใจทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังมีการเตรียมความพร้อมด้านภาษา นอกจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้ว ทางโรงแรมยังมีการเทรนนิ่งในเรื่องของภาษามลายู ภาษาอาหรับ และภาษาจีน เป็นต้น
คุณสัญญากล่าวถึงแนวโน้มการเติบโตภายหลังการเปิดให้บริการว่า จะสามารถเติบโตได้สูงถึง 50-55% และจะมีอัตราการเติบโตในปีหน้าประมาณ 10% และ 15% ในปีต่อไป โดยจะได้รับปัจจัยบวกจากการที่โรงแรมฮาลาลกำลังเป็นที่ได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันมีโรงแรมฮาลาลให้บริการบ้างแล้วในหลายประเทศ อาทิ ไต้หวัน, ญี่ปุ่น เป็นต้น
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในเรื่องของสถานการณ์ทางการเมือง สภาวะเศรษฐกิจ อาจจะมีผลกระทบอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามคนมุสลิมนิยมมาท่องเที่ยวในประเทศไทยอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้รับปัจจัยเสริมจากการที่ยกเลิกวีซ่าในกลุ่มประเทศอาเซียนและการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยที่ง่ายและสะดวก รวมทั้งประเทศไทยยังเป็น Hub ในการคมนาคมที่สำคัญอีกด้วย
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้รับความสนใจในการเข้ามาท่องเที่ยวของชาวมุสลิมจากประเทศต่างๆ อาทิ โซนตะวันออกกลาง, บรูไน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย เป็นต้น และชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย รวมทั้งทำเลที่ตั้งของโรงแรมยังตั้งอยู่ใกล้กับแอร์พอร์ตลิ้งค์จากสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสามารถเดินทางได้สะดวกสบาย ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่ดีที่จะส่งเสริมให้การเติบโตเป็นได้ตามที่ต้องการ
“ทางโรงแรมจะร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT) และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ซึ่งสมาชิกหลายท่านของ ATTA ได้ทำธุรกิจร่วมกับคนมุสลิมอยู่แล้ว จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเองก็มุ่งหวังที่จะให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นอยู่แล้ว หากเรามีในส่วนของโรงแรมช่วยสนับสนุนในตลาดมุสลิมเป็นอย่างดี และสามารถนำไปโฆษณาได้ว่า มาเมืองไทย พักโรงแรมฮาลาล อยู่สบายใจไม่ต้องห่วง” คุณสัญญากล่าว
คุณสัญญากล่าวต่อถึงหลักในการบริหารงานว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้จัดการทั่วไป ซึ่งจะดูแลทั้งหมด ทั้งในส่วนของบุคลากรและองค์กร โดยบุคลากรจะมีทั้งมุสลิม พุทธ และคริสต์ ทำงานร่วมกัน แต่ตนมีการสอนในเรื่องของวัฒนธรรม ธรรมเนียมต่างๆ ของทางอิสลามให้กับบุคลากรที่ไม่ใช่มุสลิมด้วย รวมทั้งยังต้องบริหารบุคลากรให้ทำงานร่วมกันนานๆ มีความตรงไปตรงมาในการทำงาน มีความซื่อสัตย์และมีความเป็นกันเอง
ส่วนวิสัยทัศน์ในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปลายปีนี้ คุณสัญญากล่าวว่า ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งการคมนาคมและการสื่อสารที่ดี อย่างไรก็ตามคนไทยหลายคนยังขาดในเรื่องการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษที่ไม่นิยมพูดกัน ซึ่งจะแตกต่างกับประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถพูดได้มากกว่า 2 ภาษา ด้านการแข่งขันในธุรกิจโรงแรมทั่วไป ตนมองว่ายังคงมีการแข่งขันที่สูง แต่ในด้านโรงแรมที่เป็นฮาลาลตนไม่มีความกังวลแต่อย่างใด
คุณสัญญากล่าวปิดท้ายว่า ธุรกิจของบริษัท ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ป จำกัด เป็นธุรกิจที่เกิดจากการรวมตัวกันของพี่น้องตระกู “มูลทรัพย์” โดยประกอบด้วย ธุรกิจร้านอาหารฮาลาล ภายใต้ชื่อ “โซเฟีย” ธุรกิจอพาร์ตเม้นท์ เป็นต้น และด้วยวิสัยทัศน์ของคุณรอศักดิ์ มูลทรัพย์ ประธานกรรมการ ที่ได้เล็งเห็นว่ามีพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับถนนรามคำแหงและอยากที่จะสร้างโรงแรมที่เป็นฮาลาลขึ้นมา
“คุณรอศักดิ์ มูลทรัพย์ ประธานกรรมการ ท่านได้ปรึกษากับพี่น้องตระกูล “มูลทรัพย์” โดยเห็นว่าเรามีพื้นที่ที่ยังสามารถพัฒนาต่อได้อีก และยังมีพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวด้วย รวมทั้งในพื้นที่ถนนรามคำแหงมีชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่มากด้วยเช่นกัน จึงได้มีวิสัยทัศน์ในการที่จะสร้างโรงแรมที่เป็นฮาลาลขึ้นมา” คุณสัญญากล่าว
บี ที วาย เนรมิต “The Series Udomsuk”
B T Y ผุดโครงการ The Series Udomsuk มูลค่าโครงการรวมกว่า 700 ลบ. ชูจุดเด่นคอนโดมิเนียมไฮเทคตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ด้วยระบบ Video Door Phone และ Home Automation System
คุณกีรติ วงศ์วิสุทธิรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี ที วาย ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยเกี่ยวกับรายละเอียดโครงการ The Series Udomsuk ว่า เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อปลายปี 2554 บนพื้นที่ 1,225 ตร.ว. โดยมีทั้งหมด 2 เฟส ซึ่งแต่ละเฟสประกอบด้วย 1 อาคาร ขนาดความสูง 8 ชั้น มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 700 ล้านบาท โดยทั้ง 2 อาคาร มีสิ่งอำนวยความสะดวกแยกออกจากกัน อาทิ ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ เป็นต้น สำหรับทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่ที่ซอยอุดมสุข อุดมสุข 29 และในชั่วโมงเร่งด่วนผู้พักอาศัยสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ใกล้ BTS อุดมสุข
สำหรับเฟสแรกมีจำนวน 167 ยูนิต ขณะนี้งานโครงสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนงานสถาปัตยกรรมแล้วเสร็จ 30% คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าได้ในไตรมาส 2 ปี 2558 โดยสามารถรองรับรถได้ประมาณ 60% ของพื้นที่ทั้งหมด และเริ่มเปิดการขายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขาย 80% คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ 100% ก่อนสิ้นปี 2558 ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท
ส่วนเฟสที่ 2 มีจำนวน 228 ยูนิต ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 10% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2559 โดยเริ่มเปิดขายเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้วประมาณกว่า 10% คาดว่าจะปิดการขายได้ในไตรมาส 2 ปี 2559 สามารถรองรับรถได้ประมาณ 45% ของพื้นที่ทั้งหมด ราคาเริ่มต้นที่ 1.39 ล้านบาท
คุณกีรติกล่าวต่อว่า จุดเด่นของโครงการคือเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยจะมีระบบ Video Door Phone และ Home Automation System รวมทั้งความปลอดภัยไว้รองรับให้กับผู้พักอาศัยอย่างเต็มที่
“เราจะเน้นเรื่องความสะดวกสบายและเทคโนโลยีไฮเทคเข้ามาใช้ในโครงการ ซึ่งจะมีทั้ง Home Automation System ที่โครงการอื่นๆ ไม่ค่อยจะนำมาใช้ เนื่องจากมีต้นทุนค่อนข้างสูง และมีระบบความปลอดภัยที่เป็น Video Door Phone รวมทั้งลิฟท์ล็อคชั้นเข้ามาใช้ในโครงการด้วย
โดยระบบ Home Automation เป็นระบบที่ผู้พักอาศัยสามารถควบคุมไฟฟ้าในห้องได้แม้ตัวเองจะไม่ได้อยู่ในที่พักอาศัยซึ่งจะควบคุมผ่านแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน สะดวกสบายเป็นอย่างมากสำหรับผู้พักอาศัย เช่น ถ้าเราอยู่ที่ทำงานก็สามารถสั่งเปิดแอร์ไว้รอก่อนได้ก่อนที่จะมาถึงห้อง เป็นต้น ส่วน Video Door Phone หน้าจอคล้ายทีวีที่สามารถมองเห็นคนภายนอกที่มาติดต่อขอพบเราได้ ซึ่งเป็นความสะดวกและปลอดภัยสำหรับลูกค้าที่พักอาศัย” คุณกีรติกล่าว
ด้านกลุ่มลูกค้าของบริษัทจะเจาะกลุ่มผู้พักอาศัยที่พักอาศัยอยู่จริง เนื่องจากเป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ในตลาด จึงไม่เน้นไปที่นักลงทุนที่ซื้อมาเพื่อนำไปขายต่อหรือให้เช่า แต่จะเจาะกลุ่มลูกค้าที่กำลังจะมีครอบครัวและคนที่ทำงานในพื้นที่ใกล้เคียงกับโครงการ เป็นต้น ส่วนงบที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ทางด้านการตลาดจะใช้ประมาณ 3% ของมูลค่าโครงการ อาทิ นิตยสาร, อินเตอร์เนต, บิลบอร์ด, ออกบูธ เป็นต้น
คุณกีรติกล่าวต่อถึงแผนโครงการในอนาคตว่า ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการศึกษาข้อมูลเพื่อดำเนินโครงการต่อไป ซึ่งกำลังศึกษา 2-3 พื้นที่ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเป็นพื้นทีใด โดยมีพื้นที่รองรับไว้อยู่แล้วในบริเวณใกล้เคียงกับโครงการเดิม
ส่วนแนวโน้มทางด้านการตลาดของธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ปัจจุบันมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงต้องมีไอเดียร์ใหม่ๆ ในการทำสื่อให้ลูกค้าสนใจ ซึ่งต้องมีจุดต่างกว่าคนอื่นและไม่ซ้ำใครจึงจะอยู่ได้ ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องเพราะไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนไป โดยปัจจุบันคนจะแยกตัวออกมาจากครอบครัวเพื่อมาอยู่คนเดียวเร็วขึ้น และคนรุ่นใหม่จะใช้คอนโดมิเนียมเป็นที่พักอาศัยมากกว่า
ด้านจุดเด่นของบริษัทจะเป็นความคล่องตัวในการบริหารงานเนื่องจากเป็นบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่มากนักจึงมีความคล่องตัวมากกว่าบริษัทที่ใหญ่และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสามารถสรุปงานทุกอย่างได้เร็วเพื่อให้สามารถดำเนินการเรื่องต่างๆ ได้ทันในเวลาที่เหมาะสม
สำหรับสิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเป็นในเรื่องการขอการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และใบอนุญาตต่างๆ อยากให้ภาครัฐมีกฎระเบียบในการพิจารณาชัดเจนกว่านี้และลดขั้นตอนในการขออนุญาตต่างๆ ให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถทำงานต่อได้อย่างเหมาะสมในเวลาที่กำหนด
AIT ลั่นเป้ารายได้ปีแพะแตะ 6.8 พันลบ.
AIT ตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้กว่า 6,800 ลบ.หรือโตเพิ่ม 10% จากปีที่ผ่านมา รับอานิสงส์ภาครัฐ-เอกชน พร้อมร่วมทุนกับพันธมิตรบุกประเทศเพื่อนบ้านรับ AEC
คุณศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด(มหาชน) หรือ AIT ดำเนินธุรกิจให้บริการวางระบบคอมพิวเตอร์ และโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยมีลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการในปี 2558 จะมีการเติบโต 10% จากปี 2557 ที่ผ่านมา หรือมีรายได้รวมกว่า 6,800 ล้านบาท
“การที่ตั้งเป้าเติบโต 10% เราพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น Backlog ที่มีอยู่ โครงการที่กำลัง จะดำเนินการในปีนี้ สภาวะเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ และเสถียรภาพทางการเมือง เป็นต้น หลังจากที่ รัฐบาลประกาศแนวทางการขับเคลื่อนประเทศโดยใช้นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล สนับสนุนให้เกิด Digital Economy และขับเคลื่อนของภาคการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนระบบสารสนเทศ และการสื่อสาร ทั้งนี้เชื่อว่าส่งผลดีต่อบริษัทที่จะมีโอกาสเข้าร่วมประมูลงานใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น” คุณศิริพงษ์กล่าว
บริษัทยังมองถึงโอกาสขยายธุรกิจกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC โดยเปิดสำนักงาน ย่อยในประเทศกัมพูชาเมื่อสองปีที่ผ่านมา จับมือกับพันธมิตร บริษัท First Cambodia ซึ่งเป็น SI ชั้นแนว หน้าของประเทศกัมพูชา เพื่อทำตลาดในภาครัฐและเอกชน ที่กำลังพัฒนาและนำระบบ ICT เข้ามาใช้งาน ในองค์กรมากขึ้นตามกระแส AEC
ส่วนการลงทุนในประเทศเมียนมาร์ บริษัทได้มีการร่วมลงทุนกับทาง บริษัท ล็อกซเล่ย์ ไวเลส จำกัด ภายใต้ชื่อ บริษัท ล็อกซเลย์ แอนด์ เอไอที โฮลดิ้ง จำกัด (LAH) ซึ่ง LAH ได้ร่วมทุนทำโครงการ เคเบิ้ลใต้น้ำในเมียนมาร์ กับบริษัท Kampana จากประเทศสิงคโปร์ และอีกประมาณ 3-4 เดือนของปีนี้ จะสามารถทราบถึงรายละเอียดและผลสำเร็จของโครงการดังกล่าว
ด้านการลงทุนในประเทศลาว บริษัทได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ บริษัท เอสแอลเอ เอเซีย จำกัด ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง บริษัท สามารถคอมมิวนิเคชั่นเซอร์วิส จำกัด และ บริษัท ล็อกซเลย์ เแอนด์ เอไอที โฮลดิ้ง จำกัด (LAH) ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้บริการด้านไอซีทีโซลูชั่นใน ประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอโครงการระบบบริหารจัดการที่ดินในประเทศลาว มูลค่า การลงทุนไม่ต่ำกว่า 120 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตนมองว่า แต่ละบริษัทต่างมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อีกทั้งมี ความแข็งแกร่งด้านเงินทุน ซึ่งหากมีการรวมตัวของทั้ง 3 บริษัท จะก่อให้เกิดความ แข็งแกร่งมาก ยิ่งขึ้นที่จะสามารถรองรับการแข่งขันด้านเทคโนโลยี สารสนเทศกับบริษัทใหญ่จาก ประเทศอื่นๆ ที่จะเข้ามาลงทุนในกลุ่มอาเซียนได้เป็นอย่างดี โดยการร่วมทุนในครั้งนี้ ทางบริษัทได้มีสัดส่วน ในการลงทุนประมาณ 30%
คุณศิริพงษ์กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการบุกตลาดเพื่อนบ้านว่า หลายประเทศเพื่อนบ้านของไทย พึ่งมีการเปิดประเทศ อาทิ เมียนมาร์, สปป.ลาว และกัมพูชา เป็นต้น โดยเล็งเห็นว่าในประเทศเพื่อนบ้าน ยังมีความต้องการในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศอยู่มาก ทั้งการใช้งานในส่วนของงานภาครัฐและ เอกชน รวมทั้งยังเป็นโอกาสดีที่จะสามารถขยายธุรกิจให้กว้างมากขึ้นด้วย
“การลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเราก็เจอกับคู่แข่งทางการค้าด้วย แต่เรามีพาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัท ท้องถิ่นที่แข็งแกร่งในประเทศนั้นๆ เรายังมองว่า เรามีความได้เปรียบด้านอื่นๆ อาทิ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและภาษาที่คล้ายคลึงกัน ย่อมเข้าใจความต้องการและการจัดการของประเทศนั้นๆ ได้ดีกว่าคู่แข่ง และที่สำคัญคือ เราทั้งสามบริษัทพันธมิตรต่างก็มีประสบการณ์ในการทำงานด้าน ICT ในประเทศไทย มากว่า 20 ปี เราได้เห็นความต้องการและรู้วิธีการจัดทำระบบของประเทศเพื่อนบ้านให้สำเร็จ ดังที่เห็น และได้ทำมาในประเทศเราเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นไทยยังได้เปรียบคู่แข่งด้าน Logistic ที่ไทยเป็น Hub ทางการค้าที่สำคัญอีกด้วย” คุณศิริพงษ์กล่าว
คุณศิริพงษ์กล่าวถึงการลงทุนในประเทศไทยว่า ในปีนี้บริษัทจะต้องมีการเติบโตให้เป็นไปตามเป้า ที่ได้ตั้งไว้ในเรื่องของ System Integration และการเสนอโครงการต่างๆ ในการประมูลงานของราชการ โดยบริษัทมุ่งมั่นที่จะขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันบริษัทยังต้องมีการเตรียมความพร้อม สำหรับลงทุนในโครงการต่างๆ ที่ซึ่งจะสร้างรายได้แบบต่อเนื่องหรือธุรกิจบริการที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต อีกด้วย
โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมทุน บริษัท เคิร์ซ จำกัด โดยคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 51% ของทุนจด ทะเบียน เนื่องจากมองเห็นถึงความสามารถด้านเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจของ เคิร์ซ ที่เป็นผู้ให้บริการ (Service Provider) ด้านต่างๆ เช่น บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (ISP) บริการด้านศูนย์รับฝากข้อมูล (Data Center) เป็นต้น ซึ่งจะสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้นี้ นอกเหนือจากรายได้จากการ ซ่อมบำรุงรักษาจากลูกค้าปัจจุบันประมาณ 10% ของรายได้ ซึ่งจะทำให้ฐานรายได้ของบริษัทมีความ แน่นอนและมั่นคงมากขึ้นด้วย
คุณศิริพงษ์กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศในปี 2558 ว่า ในปีนี้ทางภาครัฐมี นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล ซึ่งภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญในเรื่องของดิจิตอลและเทคโนโลยีที่จะนำเข้ามา ในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตขึ้น โดยคาดว่านโยบายนี้จะมีส่วนที่จะส่งผลดีต่อ บริษัทและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้วย
“ปัจจุบันเราต้องรอดูโครงการต่างๆ ที่ทางภาครัฐจะกำหนดขึ้นมา ซึ่งหากมีโครงการต่างๆ เกิดขึ้น เราก็มีความพร้อมอยู่เสมอ ทั้งทางด้านโซลูชั่น ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านบุคลากร ด้านเทคนิคต่างๆ รวมทั้งด้าน เงินลงทุน จากประสบการณ์กว่า 22 ปี ที่มีผลงานการันตีมากมาย เรามั่นใจว่าจะสามารถตอบสนองความ ต้องการของลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายเศรษฐกิจดิจิตัลได้เป็นอย่างดี” คุณศิริพงษ์กล่าว
คุณศิริพงษ์กล่าวต่อว่า ล่าสุดบริษัทยังได้เซ็นสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ 3 บริษัทชั้น นำของโลก ได้แก่ NetApp Inc. เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ Network Data Storage ที่จัดเก็บข้อมูลจำนวนมากๆ บนระบบ Cloud และ VMware, Inc. ผู้นำอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และบริการ Cloud & Virtualization และ F5 Networks, Inc. ผู้นำระดับโลกในเทคโนโลยี Application Delivery Networking (ADN)
โดยการร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ ทั้ง 3 บริษัท ประกอบกับการเป็นตัวแทนของ CISCO System ผู้นำของโลกในระบบ Networking มากว่า 20 ปี ทำให้ AIT สามารถให้บริการในด้านระบบ Cloud และ Virtualization อย่างสมบรูณ์แบบและครบวงจร ซึ่งในอนาคตจะมีแนวทางในการบริหารจัดการระบบ คอมพิวเตอร์ใน รูปแบบใหม่ที่ลดต้นทุนในการบริหารจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะไม่ซ้ำซ้อนกัน ยกตัวอย่างเช่น บริษัทหรือธนาคารที่มีสาขาย่อยหลายสาขา ซึ่งทุกสาขาย่อยจะมีระบบการบริหารจัดการเป็นของตัวเอง และเมื่อนำระบบนี้มาใช้ ในทุกสาขาย่อยจะมีระบบบริหารจัดการเหมือนกันทุกสาขา โดยจะช่วยให้การบริหารจัดการมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายตรงกับทั้ง 3 บริษัท ประกอบกับที่ AIT เป็นตัวแทน จำหน่าย CISCO Systems มากว่า 20 ปี ทำให้ AIT สามารถนำเสนอสินค้าและบริการระบบ Cloud & Virtualization ในรูปแบบของ Solution Technology ให้แก่ลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนขนาดใหญ่ และ Service Provider ได้อย่างครบวงจร และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าภายใต้ยุค เศรษฐกิจดิจิตอลได้ดียิ่งขึ้น
คุณศิริพงษ์กล่าวถึงหลักการบริหารงานแบบง่ายๆ ใช้หลักของ Common Sense พิจารณาถึงเหตุ ที่เกิดและผลที่ตาม แล้วใช้เหตุผลในการตัดสินใจ
“นอกจากนี้ สิ่งสำคัญในการทำงานคือ เครดิต หรือความไว้วางใจ เชื่อใจซึ่งกันและกัน โดยเราจะ ต้องมีเครดิตกับลูกน้อง ลูกค้า คู่ค้า และสังคม ตราบใดที่เราไม่มีเครดิตก็คงจะทำธุรกิจให้ประสบ ความสำเร็จได้ยาก จึงเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารงานและสร้างธุรกิจให้เติบโตด้วยความแข็งแรง” คุณศิริพงษ์กล่าว