
Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
“ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ป” เนรมิต รร.ฮาลาล 4 ดาวแห่งแรกในไทย
ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ปทุ่มงบกว่า 650 ลบ. ผุด “อัล-มีรอซ” โรงแรมฮาลาลระดับ 4 ดาวแห่งแรกในไทย บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ติดถนนรามคำแหง คืบหน้าแล้วกว่า 80% เตรียม Grand Opening ในช่วงต้นปี 59 รองรับนักท่องเที่ยวมุสลิมและการเปิด AEC
คุณสัญญา แสงบุญ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอัล-มีรอซ เปิดเผยว่า บริษัท ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหาร ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 650 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดิน) ในการก่อสร้างโรงแรมดังกล่าว โดยตั้งอยู่บนถนนรามคำแหง ใกล้กับซอยรามคำแหง 5 เขตสวนหลวง และเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อเดือนธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา ขณะนี้มีความคืบหน้าแล้วกว่า 80% คาดจะแล้วเสร็จเดือนมิถุนายนปีนี้
“โรงแรมอัล-มีรอซ เป็นโรงแรมฮาลาลระดับ 4 ดาว ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินของตระกูลมูลทรัพย์ คาดว่าจะ Soft Opening ในช่วงเดือนสิงหาคม 2558 และมีแผน Grand Opening ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2559 สำหรับการคืนทุนจะใช้เวลาประมาณ 5-7 ปี และหากการท่องเที่ยวได้รับความนิยมอาจจะใช้ระยะเวลาคืนทุนที่เร็วกว่าที่ได้ตั้งไว้” คุณสัญญากล่าว
โรงแรมอัล-มีรอซ เป็นโรงแรมสูง 16 ชั้นและชั้นใต้ดิน 1 ชั้น มีห้องพักรวมทั้งสิ้น 250 ห้อง ประกอบด้วย ห้องซูพีเรีย (Superior) จำนวน 182 ห้อง, ห้องดีลักซ์ (Deluxe) จำนวน 64 ห้อง และห้องสวีท (Sweet) จำนวน 4 ห้อง และมีลานจอดรถที่สามารถรองรับรถได้กว่า 700-800 คัน ภายในโรงแรมยังประกอบด้วยห้องประชุมใหญ่ 1 ห้อง ซึ่งรองรับคนได้มากถึง 1,200 คน ส่วนห้อง Seminar และ Conferenced อีก 4 ห้อง รองรับคนได้ประมาณ 100-200 คน
นอกจากนี้ยังมีในส่วนของห้องละหมาด ซึ่งมีการแยกห้องหญิง-ชายอย่างชัดเจน รวมทั้งห้องอาหาร ซึ่งจะประกอบไปด้วย ห้องอาหาร All Day Dining จำนวน 1 ห้อง ซึ่งจะอยู่ที่ชั้น G ในส่วนของบริเวณที่เป็นล็อบบี้, ห้องอาหาร Mediterranean จะอยู่ที่ชั้น 2 โดยจะเอาธีมของอาหาร Mediterranean มาผสมผสานเข้ากับอาหาร AEC เข้าด้วยกัน เป็นต้น รวมทั้งยังมีในส่วนของนันทนาการ ได้แก่ สปา, โยคะ, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ และ Free Wi-Fi เป็นต้น เพื่อรองรับการให้บริการของลูกค้า
ด้านกลุ่มลูกค้าในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม คุณสัญญากล่าวว่า จะเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นมุสลิมที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 50% ส่วนลูกค้าห้องพักจะเจาะกลุ่มลูกค้าที่มาจากในกลุ่มประเทศอาเซียน หรือในกลุ่ม AEC โดยจะเริ่มจากอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, บรูไน, เมียนมาร์, สปป.ลาว, กัมพูชา, สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ที่นับถือศาสนาอิสลาม
คุณสัญญากล่าวต่อว่า โรงแรมอัล-มีรอซ จะถูกออกแบบในสไตล์โมเดิร์น ในขณะเดียวกันก็อิงตามรูปแบบการตกแต่งในรูปแบบ Middle Earth ซึ่งจะมีกลิ่นอายของความเป็นยุโรปและมุสลิมผสมผสานอยู่ด้วยกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวอาคารจะมีโดม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิมอยู่ด้วย ส่วนกรอบประตูหน้าต่างและการตกแต่งภายในโรงแรม จะมีลวดลายและลักษณะตามรูปแบบของอาหรับด้วย
ส่วนวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างโรงแรม คุณสัญญากล่าวว่า โรงแรมแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นเพื่อสร้างความสะดวกสบายและความเชื่อมั่นให้กับชาวมุสลิมที่เข้ามาท่องเที่ยวและอาศัยในกรุงเทพมหานคร โดยภายในโรงแรมจะไม่มีการบริการในส่วนของเครื่องดื่มของมึนเมาต่างๆ และมีบริการอาหารฮาลาล ที่ปรุงถูกต้องตามหลักศาสนาและเป็นไปตามที่หลักศาสนาอนุมัติอย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ โรงแรมอัล-มีรอซ ยังสามารถกล่าวได้ว่า เป็นโรงแรมฮาลาลระดับ 4 ดาวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากโรงแรมฮาลาลอื่นๆ ในประเทศยังไม่มีให้บริการในระดับ 4 ดาว และจำนวนห้องพักยังไม่สูงเท่ากับของโรงแรมอัล-มีรอซ รวมทั้งโรงแรมอัล-มีรอซยังมีมาตรฐานในการให้บริการระดับนานาชาติ (International Standard) ทั้งในส่วนของอุปกรณ์ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ เป็นต้น
“หลายโรงแรมในประเทศไทย พยายามจะทำในเรื่องฮาลาล แต่ก็ยังไม่มีใครที่จะทำสำเร็จ เนื่องจากว่าไม่ได้เป็นมุสลิมโดยกำเนิด แต่ที่นี่เจ้าของและพี่น้องของเจ้าของเป็นมุสลิมมาตั้งแต่เกิด และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องของฮาลาลเป็นอย่างดี จึงทำให้มีความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือมากกว่า ซึ่งสามารถการันตีได้ว่าเราทำอย่างถูกหลักศาสนาอย่างแน่นอน” คุณสัญญากล่าว
ด้านการให้การบริการ ทางโรงแรมมีความพร้อมในการให้บริการที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น หากกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ชาย ทางโรงแรมก็จะให้พนักงานที่เป็นผู้ชายเป็นผู้ให้บริการและดูแลลูกค้า หากเป็นกลุ่มผู้หญิงมากกว่าจะให้พนักงานที่เป็นผู้หญิงเข้าไปดูแลเช่นกัน นอกจากนี้ชุดของพนักงานมีการออกแบบที่มิดชิด แขนเสื้อและกระโปรงไม่สั้น เพื่อให้คนที่มาใช้บริการและคนที่ให้บริการเกิดความสบายใจทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังมีการเตรียมความพร้อมด้านภาษา นอกจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้ว ทางโรงแรมยังมีการเทรนนิ่งในเรื่องของภาษามลายู ภาษาอาหรับ และภาษาจีน เป็นต้น
คุณสัญญากล่าวถึงแนวโน้มการเติบโตภายหลังการเปิดให้บริการว่า จะสามารถเติบโตได้สูงถึง 50-55% และจะมีอัตราการเติบโตในปีหน้าประมาณ 10% และ 15% ในปีต่อไป โดยจะได้รับปัจจัยบวกจากการที่โรงแรมฮาลาลกำลังเป็นที่ได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันมีโรงแรมฮาลาลให้บริการบ้างแล้วในหลายประเทศ อาทิ ไต้หวัน, ญี่ปุ่น เป็นต้น
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในเรื่องของสถานการณ์ทางการเมือง สภาวะเศรษฐกิจ อาจจะมีผลกระทบอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามคนมุสลิมนิยมมาท่องเที่ยวในประเทศไทยอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้รับปัจจัยเสริมจากการที่ยกเลิกวีซ่าในกลุ่มประเทศอาเซียนและการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยที่ง่ายและสะดวก รวมทั้งประเทศไทยยังเป็น Hub ในการคมนาคมที่สำคัญอีกด้วย
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้รับความสนใจในการเข้ามาท่องเที่ยวของชาวมุสลิมจากประเทศต่างๆ อาทิ โซนตะวันออกกลาง, บรูไน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย เป็นต้น และชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย รวมทั้งทำเลที่ตั้งของโรงแรมยังตั้งอยู่ใกล้กับแอร์พอร์ตลิ้งค์จากสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสามารถเดินทางได้สะดวกสบาย ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่ดีที่จะส่งเสริมให้การเติบโตเป็นได้ตามที่ต้องการ
“ทางโรงแรมจะร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT) และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ซึ่งสมาชิกหลายท่านของ ATTA ได้ทำธุรกิจร่วมกับคนมุสลิมอยู่แล้ว จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเองก็มุ่งหวังที่จะให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นอยู่แล้ว หากเรามีในส่วนของโรงแรมช่วยสนับสนุนในตลาดมุสลิมเป็นอย่างดี และสามารถนำไปโฆษณาได้ว่า มาเมืองไทย พักโรงแรมฮาลาล อยู่สบายใจไม่ต้องห่วง” คุณสัญญากล่าว
คุณสัญญากล่าวต่อถึงหลักในการบริหารงานว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้จัดการทั่วไป ซึ่งจะดูแลทั้งหมด ทั้งในส่วนของบุคลากรและองค์กร โดยบุคลากรจะมีทั้งมุสลิม พุทธ และคริสต์ ทำงานร่วมกัน แต่ตนมีการสอนในเรื่องของวัฒนธรรม ธรรมเนียมต่างๆ ของทางอิสลามให้กับบุคลากรที่ไม่ใช่มุสลิมด้วย รวมทั้งยังต้องบริหารบุคลากรให้ทำงานร่วมกันนานๆ มีความตรงไปตรงมาในการทำงาน มีความซื่อสัตย์และมีความเป็นกันเอง
ส่วนวิสัยทัศน์ในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปลายปีนี้ คุณสัญญากล่าวว่า ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งการคมนาคมและการสื่อสารที่ดี อย่างไรก็ตามคนไทยหลายคนยังขาดในเรื่องการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษที่ไม่นิยมพูดกัน ซึ่งจะแตกต่างกับประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถพูดได้มากกว่า 2 ภาษา ด้านการแข่งขันในธุรกิจโรงแรมทั่วไป ตนมองว่ายังคงมีการแข่งขันที่สูง แต่ในด้านโรงแรมที่เป็นฮาลาลตนไม่มีความกังวลแต่อย่างใด
คุณสัญญากล่าวปิดท้ายว่า ธุรกิจของบริษัท ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ป จำกัด เป็นธุรกิจที่เกิดจากการรวมตัวกันของพี่น้องตระกู “มูลทรัพย์” โดยประกอบด้วย ธุรกิจร้านอาหารฮาลาล ภายใต้ชื่อ “โซเฟีย” ธุรกิจอพาร์ตเม้นท์ เป็นต้น และด้วยวิสัยทัศน์ของคุณรอศักดิ์ มูลทรัพย์ ประธานกรรมการ ที่ได้เล็งเห็นว่ามีพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับถนนรามคำแหงและอยากที่จะสร้างโรงแรมที่เป็นฮาลาลขึ้นมา
“คุณรอศักดิ์ มูลทรัพย์ ประธานกรรมการ ท่านได้ปรึกษากับพี่น้องตระกูล “มูลทรัพย์” โดยเห็นว่าเรามีพื้นที่ที่ยังสามารถพัฒนาต่อได้อีก และยังมีพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวด้วย รวมทั้งในพื้นที่ถนนรามคำแหงมีชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่มากด้วยเช่นกัน จึงได้มีวิสัยทัศน์ในการที่จะสร้างโรงแรมที่เป็นฮาลาลขึ้นมา” คุณสัญญากล่าว
บี ที วาย เนรมิต “The Series Udomsuk”
B T Y ผุดโครงการ The Series Udomsuk มูลค่าโครงการรวมกว่า 700 ลบ. ชูจุดเด่นคอนโดมิเนียมไฮเทคตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ด้วยระบบ Video Door Phone และ Home Automation System
คุณกีรติ วงศ์วิสุทธิรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี ที วาย ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยเกี่ยวกับรายละเอียดโครงการ The Series Udomsuk ว่า เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อปลายปี 2554 บนพื้นที่ 1,225 ตร.ว. โดยมีทั้งหมด 2 เฟส ซึ่งแต่ละเฟสประกอบด้วย 1 อาคาร ขนาดความสูง 8 ชั้น มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 700 ล้านบาท โดยทั้ง 2 อาคาร มีสิ่งอำนวยความสะดวกแยกออกจากกัน อาทิ ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ เป็นต้น สำหรับทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่ที่ซอยอุดมสุข อุดมสุข 29 และในชั่วโมงเร่งด่วนผู้พักอาศัยสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ใกล้ BTS อุดมสุข
สำหรับเฟสแรกมีจำนวน 167 ยูนิต ขณะนี้งานโครงสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนงานสถาปัตยกรรมแล้วเสร็จ 30% คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าได้ในไตรมาส 2 ปี 2558 โดยสามารถรองรับรถได้ประมาณ 60% ของพื้นที่ทั้งหมด และเริ่มเปิดการขายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขาย 80% คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ 100% ก่อนสิ้นปี 2558 ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท
ส่วนเฟสที่ 2 มีจำนวน 228 ยูนิต ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 10% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2559 โดยเริ่มเปิดขายเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้วประมาณกว่า 10% คาดว่าจะปิดการขายได้ในไตรมาส 2 ปี 2559 สามารถรองรับรถได้ประมาณ 45% ของพื้นที่ทั้งหมด ราคาเริ่มต้นที่ 1.39 ล้านบาท
คุณกีรติกล่าวต่อว่า จุดเด่นของโครงการคือเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยจะมีระบบ Video Door Phone และ Home Automation System รวมทั้งความปลอดภัยไว้รองรับให้กับผู้พักอาศัยอย่างเต็มที่
“เราจะเน้นเรื่องความสะดวกสบายและเทคโนโลยีไฮเทคเข้ามาใช้ในโครงการ ซึ่งจะมีทั้ง Home Automation System ที่โครงการอื่นๆ ไม่ค่อยจะนำมาใช้ เนื่องจากมีต้นทุนค่อนข้างสูง และมีระบบความปลอดภัยที่เป็น Video Door Phone รวมทั้งลิฟท์ล็อคชั้นเข้ามาใช้ในโครงการด้วย
โดยระบบ Home Automation เป็นระบบที่ผู้พักอาศัยสามารถควบคุมไฟฟ้าในห้องได้แม้ตัวเองจะไม่ได้อยู่ในที่พักอาศัยซึ่งจะควบคุมผ่านแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน สะดวกสบายเป็นอย่างมากสำหรับผู้พักอาศัย เช่น ถ้าเราอยู่ที่ทำงานก็สามารถสั่งเปิดแอร์ไว้รอก่อนได้ก่อนที่จะมาถึงห้อง เป็นต้น ส่วน Video Door Phone หน้าจอคล้ายทีวีที่สามารถมองเห็นคนภายนอกที่มาติดต่อขอพบเราได้ ซึ่งเป็นความสะดวกและปลอดภัยสำหรับลูกค้าที่พักอาศัย” คุณกีรติกล่าว
ด้านกลุ่มลูกค้าของบริษัทจะเจาะกลุ่มผู้พักอาศัยที่พักอาศัยอยู่จริง เนื่องจากเป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ในตลาด จึงไม่เน้นไปที่นักลงทุนที่ซื้อมาเพื่อนำไปขายต่อหรือให้เช่า แต่จะเจาะกลุ่มลูกค้าที่กำลังจะมีครอบครัวและคนที่ทำงานในพื้นที่ใกล้เคียงกับโครงการ เป็นต้น ส่วนงบที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ทางด้านการตลาดจะใช้ประมาณ 3% ของมูลค่าโครงการ อาทิ นิตยสาร, อินเตอร์เนต, บิลบอร์ด, ออกบูธ เป็นต้น
คุณกีรติกล่าวต่อถึงแผนโครงการในอนาคตว่า ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการศึกษาข้อมูลเพื่อดำเนินโครงการต่อไป ซึ่งกำลังศึกษา 2-3 พื้นที่ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเป็นพื้นทีใด โดยมีพื้นที่รองรับไว้อยู่แล้วในบริเวณใกล้เคียงกับโครงการเดิม
ส่วนแนวโน้มทางด้านการตลาดของธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ปัจจุบันมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงต้องมีไอเดียร์ใหม่ๆ ในการทำสื่อให้ลูกค้าสนใจ ซึ่งต้องมีจุดต่างกว่าคนอื่นและไม่ซ้ำใครจึงจะอยู่ได้ ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องเพราะไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนไป โดยปัจจุบันคนจะแยกตัวออกมาจากครอบครัวเพื่อมาอยู่คนเดียวเร็วขึ้น และคนรุ่นใหม่จะใช้คอนโดมิเนียมเป็นที่พักอาศัยมากกว่า
ด้านจุดเด่นของบริษัทจะเป็นความคล่องตัวในการบริหารงานเนื่องจากเป็นบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่มากนักจึงมีความคล่องตัวมากกว่าบริษัทที่ใหญ่และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสามารถสรุปงานทุกอย่างได้เร็วเพื่อให้สามารถดำเนินการเรื่องต่างๆ ได้ทันในเวลาที่เหมาะสม
สำหรับสิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเป็นในเรื่องการขอการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และใบอนุญาตต่างๆ อยากให้ภาครัฐมีกฎระเบียบในการพิจารณาชัดเจนกว่านี้และลดขั้นตอนในการขออนุญาตต่างๆ ให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถทำงานต่อได้อย่างเหมาะสมในเวลาที่กำหนด
AIT ลั่นเป้ารายได้ปีแพะแตะ 6.8 พันลบ.
AIT ตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้กว่า 6,800 ลบ.หรือโตเพิ่ม 10% จากปีที่ผ่านมา รับอานิสงส์ภาครัฐ-เอกชน พร้อมร่วมทุนกับพันธมิตรบุกประเทศเพื่อนบ้านรับ AEC
คุณศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด(มหาชน) หรือ AIT ดำเนินธุรกิจให้บริการวางระบบคอมพิวเตอร์ และโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยมีลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการในปี 2558 จะมีการเติบโต 10% จากปี 2557 ที่ผ่านมา หรือมีรายได้รวมกว่า 6,800 ล้านบาท
“การที่ตั้งเป้าเติบโต 10% เราพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น Backlog ที่มีอยู่ โครงการที่กำลัง จะดำเนินการในปีนี้ สภาวะเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ และเสถียรภาพทางการเมือง เป็นต้น หลังจากที่ รัฐบาลประกาศแนวทางการขับเคลื่อนประเทศโดยใช้นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล สนับสนุนให้เกิด Digital Economy และขับเคลื่อนของภาคการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนระบบสารสนเทศ และการสื่อสาร ทั้งนี้เชื่อว่าส่งผลดีต่อบริษัทที่จะมีโอกาสเข้าร่วมประมูลงานใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น” คุณศิริพงษ์กล่าว
บริษัทยังมองถึงโอกาสขยายธุรกิจกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC โดยเปิดสำนักงาน ย่อยในประเทศกัมพูชาเมื่อสองปีที่ผ่านมา จับมือกับพันธมิตร บริษัท First Cambodia ซึ่งเป็น SI ชั้นแนว หน้าของประเทศกัมพูชา เพื่อทำตลาดในภาครัฐและเอกชน ที่กำลังพัฒนาและนำระบบ ICT เข้ามาใช้งาน ในองค์กรมากขึ้นตามกระแส AEC
ส่วนการลงทุนในประเทศเมียนมาร์ บริษัทได้มีการร่วมลงทุนกับทาง บริษัท ล็อกซเล่ย์ ไวเลส จำกัด ภายใต้ชื่อ บริษัท ล็อกซเลย์ แอนด์ เอไอที โฮลดิ้ง จำกัด (LAH) ซึ่ง LAH ได้ร่วมทุนทำโครงการ เคเบิ้ลใต้น้ำในเมียนมาร์ กับบริษัท Kampana จากประเทศสิงคโปร์ และอีกประมาณ 3-4 เดือนของปีนี้ จะสามารถทราบถึงรายละเอียดและผลสำเร็จของโครงการดังกล่าว
ด้านการลงทุนในประเทศลาว บริษัทได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ บริษัท เอสแอลเอ เอเซีย จำกัด ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง บริษัท สามารถคอมมิวนิเคชั่นเซอร์วิส จำกัด และ บริษัท ล็อกซเลย์ เแอนด์ เอไอที โฮลดิ้ง จำกัด (LAH) ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้บริการด้านไอซีทีโซลูชั่นใน ประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอโครงการระบบบริหารจัดการที่ดินในประเทศลาว มูลค่า การลงทุนไม่ต่ำกว่า 120 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตนมองว่า แต่ละบริษัทต่างมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อีกทั้งมี ความแข็งแกร่งด้านเงินทุน ซึ่งหากมีการรวมตัวของทั้ง 3 บริษัท จะก่อให้เกิดความ แข็งแกร่งมาก ยิ่งขึ้นที่จะสามารถรองรับการแข่งขันด้านเทคโนโลยี สารสนเทศกับบริษัทใหญ่จาก ประเทศอื่นๆ ที่จะเข้ามาลงทุนในกลุ่มอาเซียนได้เป็นอย่างดี โดยการร่วมทุนในครั้งนี้ ทางบริษัทได้มีสัดส่วน ในการลงทุนประมาณ 30%
คุณศิริพงษ์กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการบุกตลาดเพื่อนบ้านว่า หลายประเทศเพื่อนบ้านของไทย พึ่งมีการเปิดประเทศ อาทิ เมียนมาร์, สปป.ลาว และกัมพูชา เป็นต้น โดยเล็งเห็นว่าในประเทศเพื่อนบ้าน ยังมีความต้องการในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศอยู่มาก ทั้งการใช้งานในส่วนของงานภาครัฐและ เอกชน รวมทั้งยังเป็นโอกาสดีที่จะสามารถขยายธุรกิจให้กว้างมากขึ้นด้วย
“การลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเราก็เจอกับคู่แข่งทางการค้าด้วย แต่เรามีพาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัท ท้องถิ่นที่แข็งแกร่งในประเทศนั้นๆ เรายังมองว่า เรามีความได้เปรียบด้านอื่นๆ อาทิ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและภาษาที่คล้ายคลึงกัน ย่อมเข้าใจความต้องการและการจัดการของประเทศนั้นๆ ได้ดีกว่าคู่แข่ง และที่สำคัญคือ เราทั้งสามบริษัทพันธมิตรต่างก็มีประสบการณ์ในการทำงานด้าน ICT ในประเทศไทย มากว่า 20 ปี เราได้เห็นความต้องการและรู้วิธีการจัดทำระบบของประเทศเพื่อนบ้านให้สำเร็จ ดังที่เห็น และได้ทำมาในประเทศเราเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นไทยยังได้เปรียบคู่แข่งด้าน Logistic ที่ไทยเป็น Hub ทางการค้าที่สำคัญอีกด้วย” คุณศิริพงษ์กล่าว
คุณศิริพงษ์กล่าวถึงการลงทุนในประเทศไทยว่า ในปีนี้บริษัทจะต้องมีการเติบโตให้เป็นไปตามเป้า ที่ได้ตั้งไว้ในเรื่องของ System Integration และการเสนอโครงการต่างๆ ในการประมูลงานของราชการ โดยบริษัทมุ่งมั่นที่จะขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันบริษัทยังต้องมีการเตรียมความพร้อม สำหรับลงทุนในโครงการต่างๆ ที่ซึ่งจะสร้างรายได้แบบต่อเนื่องหรือธุรกิจบริการที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต อีกด้วย
โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมทุน บริษัท เคิร์ซ จำกัด โดยคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 51% ของทุนจด ทะเบียน เนื่องจากมองเห็นถึงความสามารถด้านเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจของ เคิร์ซ ที่เป็นผู้ให้บริการ (Service Provider) ด้านต่างๆ เช่น บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (ISP) บริการด้านศูนย์รับฝากข้อมูล (Data Center) เป็นต้น ซึ่งจะสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้นี้ นอกเหนือจากรายได้จากการ ซ่อมบำรุงรักษาจากลูกค้าปัจจุบันประมาณ 10% ของรายได้ ซึ่งจะทำให้ฐานรายได้ของบริษัทมีความ แน่นอนและมั่นคงมากขึ้นด้วย
คุณศิริพงษ์กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศในปี 2558 ว่า ในปีนี้ทางภาครัฐมี นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล ซึ่งภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญในเรื่องของดิจิตอลและเทคโนโลยีที่จะนำเข้ามา ในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตขึ้น โดยคาดว่านโยบายนี้จะมีส่วนที่จะส่งผลดีต่อ บริษัทและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้วย
“ปัจจุบันเราต้องรอดูโครงการต่างๆ ที่ทางภาครัฐจะกำหนดขึ้นมา ซึ่งหากมีโครงการต่างๆ เกิดขึ้น เราก็มีความพร้อมอยู่เสมอ ทั้งทางด้านโซลูชั่น ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านบุคลากร ด้านเทคนิคต่างๆ รวมทั้งด้าน เงินลงทุน จากประสบการณ์กว่า 22 ปี ที่มีผลงานการันตีมากมาย เรามั่นใจว่าจะสามารถตอบสนองความ ต้องการของลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายเศรษฐกิจดิจิตัลได้เป็นอย่างดี” คุณศิริพงษ์กล่าว
คุณศิริพงษ์กล่าวต่อว่า ล่าสุดบริษัทยังได้เซ็นสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ 3 บริษัทชั้น นำของโลก ได้แก่ NetApp Inc. เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ Network Data Storage ที่จัดเก็บข้อมูลจำนวนมากๆ บนระบบ Cloud และ VMware, Inc. ผู้นำอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และบริการ Cloud & Virtualization และ F5 Networks, Inc. ผู้นำระดับโลกในเทคโนโลยี Application Delivery Networking (ADN)
โดยการร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ ทั้ง 3 บริษัท ประกอบกับการเป็นตัวแทนของ CISCO System ผู้นำของโลกในระบบ Networking มากว่า 20 ปี ทำให้ AIT สามารถให้บริการในด้านระบบ Cloud และ Virtualization อย่างสมบรูณ์แบบและครบวงจร ซึ่งในอนาคตจะมีแนวทางในการบริหารจัดการระบบ คอมพิวเตอร์ใน รูปแบบใหม่ที่ลดต้นทุนในการบริหารจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะไม่ซ้ำซ้อนกัน ยกตัวอย่างเช่น บริษัทหรือธนาคารที่มีสาขาย่อยหลายสาขา ซึ่งทุกสาขาย่อยจะมีระบบการบริหารจัดการเป็นของตัวเอง และเมื่อนำระบบนี้มาใช้ ในทุกสาขาย่อยจะมีระบบบริหารจัดการเหมือนกันทุกสาขา โดยจะช่วยให้การบริหารจัดการมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายตรงกับทั้ง 3 บริษัท ประกอบกับที่ AIT เป็นตัวแทน จำหน่าย CISCO Systems มากว่า 20 ปี ทำให้ AIT สามารถนำเสนอสินค้าและบริการระบบ Cloud & Virtualization ในรูปแบบของ Solution Technology ให้แก่ลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนขนาดใหญ่ และ Service Provider ได้อย่างครบวงจร และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าภายใต้ยุค เศรษฐกิจดิจิตอลได้ดียิ่งขึ้น
คุณศิริพงษ์กล่าวถึงหลักการบริหารงานแบบง่ายๆ ใช้หลักของ Common Sense พิจารณาถึงเหตุ ที่เกิดและผลที่ตาม แล้วใช้เหตุผลในการตัดสินใจ
“นอกจากนี้ สิ่งสำคัญในการทำงานคือ เครดิต หรือความไว้วางใจ เชื่อใจซึ่งกันและกัน โดยเราจะ ต้องมีเครดิตกับลูกน้อง ลูกค้า คู่ค้า และสังคม ตราบใดที่เราไม่มีเครดิตก็คงจะทำธุรกิจให้ประสบ ความสำเร็จได้ยาก จึงเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารงานและสร้างธุรกิจให้เติบโตด้วยความแข็งแรง” คุณศิริพงษ์กล่าว
“มากิโน” ทุ่มงบกว่า 600 ลบ.ผุด สนง. ใหม่
มากิโน (ประเทศไทย) ทุ่มงบกว่า 600 ลบ. เนรมิตอาคารสำนักงานใหม่บนพื้นที่เกือบ 4 ไร่ ติดถนนพัฒนาการ วางเป้าปีแพะโตเพิ่มอีก 15% รับปัจจัยเสริมจากสภาวะเศรษฐกิจไทยและ เครื่องจักรใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง
คุณชุติ อูนากูล ประธานกรรมการ บริษัท มากิโน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จำหน่ายและให้บริการทางวิศวกรรม ติดตั้ง ซ่อมแซม เครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ และอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่บนพื้นที่ทั้งหมดเกือบ 4 ไร่ ติดถนนพัฒนาการ ระหว่างซอย 31-33
โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 600 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการจัดพิธีเปิดตัวอย่างเป็นทางการประมาณเดือนธันวาคม 2558 โดยภายในอาคารสำนักงานแห่งใหม่จะประกอบด้วย Reception & Seminar, Technical Center, Turnkey Facility, สำนักงาน และคลังสินค้า
สำหรับวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างสำนักงานใหม่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการลูกค้าที่มีเพิ่มสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องของออเดอร์สินค้าและการบริการต่างๆ รวมทั้งเพื่อใช้เป็นศูนย์ในการฝึกอบรมให้กับพนักงานของลูกค้าในการใช้งานเครื่องจักรที่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ในการขยายขอบเขตการศึกษาสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่สนใจศึกษาในเรื่องของเครื่องจักรแม่พิมพ์
“เราใช้งบลงทุนกว่า 600 ล้านบาท แบ่งออกเป็นค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานประมาณ 400 ล้านบาท และงบประมาณสำหรับการติดตั้งเครื่องจักรกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งภายในอาคารประกอบด้วย 1. Reception & Seminar โดยเป็นห้องประชุมสัมมนาของเราสามารถรองรับผู้เข้าอบรมได้สูงถึง 100 คน เพื่ออบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานเครื่องจักรให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อเครื่องจักร รวมทั้งใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักเรียน นักศึกษาที่สนใจในสายงานที่เกี่ยวข้องการอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ด้วย 2. Technical Center ซึ่งมีพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร จะเป็นศูนย์สำหรับการทดสอบเครื่องจักรแม่พิมพ์ 3. Turnkey Facility มีพื้นที่ใช้งานกว่า 1,000 ตารางเมตรโดยอาคารสำนักงานแห่งใหม่จะมีสถานที่ให้กับลูกค้าได้มีจุดที่จะทดลองและลองทำผลิตภัณฑ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” คุณชุติกล่าว
คุณชุติกล่าวต่อถึงเป้าผลประกอบการในปีนี้ว่า บริษัทตั้งเป้าเติบโตเพิ่มอีกประมาณ 15%จากปีที่ผ่านมา หรือมีรายได้รวมกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน โดยได้พิจารณาจากการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มมีความเข้าในสถานการณ์ทางการเมืองของไทยและกลับมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น รวมทั้งยังได้รับปัจจัยเสริมจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นหรือมีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศที่ดี
นอกจากนี้ภายในปีนี้ บริษัทยังจะได้รับปัจจัยเสริมที่จะผลักดันให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จากการจำหน่ายเครื่องจักรแม่พิมพ์ใหม่อีก 5 ประเภท ประกอบด้วย เครื่อง iQ300 – Precision Micromachining Center, เครื่อง N2 – Horizontal Machining Center, เครื่อง D300 – 5-Axis Vertical Machining Center, เครื่อง MG30 – High-Precision CNC Tool & Cutter Grinder และเครื่อง Slim3n – New Generation Compact Vertical Machining Center
{gallery}Biz_Interview/2015/bfi_025/makino/photo{/gallery}
อนึ่ง บริษัท มากิโน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายและให้บริการทางด้านวิศวกรรม ติดตั้ง ซ่อมแซม เครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ และอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ยี่ห้อ มากิโน ซึ่งเป็นสุดยอดเครื่องจักร CNC Machining Center, CNC Wire Cut และ CNC EDH โดยมีบริษัทแม่คือ บริษัท มากิโน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น และมีบริษัท มากิโน เอเชีย จำกัด ประเทศสิงคโปร์ เป็นบริษัทย่อยที่ดูแลกลุ่มบริษัท มากิโน ในประเทศโซนเอเชียทั้งหมด
บริษัท มากิโน เอเชีย จำกัด ประเทศสิงคโปร์ เป็นผู้ให้บริการเครื่องจักรภายใต้แบรนด์ Makino แบบครบวงจร พร้อมทั้งวิจัยและพัฒนาการผลิตภายใต้กระบวนการวิศวกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ตามปรัชญาการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะของบุคลากรและการให้ความสำคัญของลูกค้าเหนือสิ่งอื่นใด
ปัจจุบัน บริษัท มากิโน เอเชีย จำกัด ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของเอเชีย มีบุคลากรกว่า 500 คน และมีสาขาครอบคลุมทั่วเอเชียหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ซึ่งรวมทุกประเทศแล้ว จะมีบุคลากรรวมกว่า 700 คน
บริษัท มากิโน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2480 เพื่อผลิตเครื่องจักรประเภท CNC ที่มีคุณภาพสูง และมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชั่นและการบริการให้ครอบคลุมมากที่สุด และในปี 2524 ได้มีการเปิดสาขาขึ้นที่สิงคโปร์เป็นครั้งแรก ต่อมาในปี 2547 จึงมีการเปิดศูนย์การบริการขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยบนถนนรามอินทรา เพื่อนำเสนอตัวอย่างงานเครื่องจักร CNC เครื่องจักร EDM และเครื่องจักร Wire Cut จาก บริษัท มากิโน เอเชีย จำกัด ประเทศสิงคโปร์ และบริษัท มากิโน คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น
ด้านพันธกิจทางด้านงานบริการ บริษัทมุ่งเน้นการให้บริการที่รวดเร็วและทันท่วงที เพื่อลดเวลาการหยุดทำงานของเครื่องจักรให้ได้มากที่สุด ในสิงคโปร์บริษัทสามารถประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ได้มากกว่า 80% และหลังจากได้รับการแจ้งจากลูกค้า บริษัทสามารถแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ภายในเวลา 4 ชั่วโมง เพื่อสามารถช่วยให้ลูกค้าผลิตสินค้าได้อย่างต่อเนื่องในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งบริษัทสามารถตอบโจทย์การบริการให้แก่ลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเป็นการตอกย้ำการทำงานที่มีประสิทธิภาพและสร้างความไว้วางใจจากลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ส่วนเป้าหมายหลักของบริษัท คือ “ลูกค้าของเรามาก่อนเสมอ และเป้าหมายต่อมา คือ ระบบการผลิตสินค้าของลูกค้าจะต้องสามารถผลิตได้ตามเป้าหมายเสมอ นั่นคือหัวใจหลักของบริษัทที่ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจและมั่นใจในการบริการที่ได้มาตรฐานของเรา”
สำหรับการบริการของบริษัทประกอบด้วย การให้คำปรึกษาด้านเทคนิคผ่านทางโทรศัพท์, การให้บริการถึงสถานที่ของลูกค้า, การให้คำปรึกษาและแนะนำตำแหน่งที่เหมาะสมในการติดตั้งเครื่องจักร, มีแพ็คเก็จการให้บริการบำรุงรักษาตามมาตรฐานการซ่อมบำรุง, พร้อมให้บริการข้อมูลตลอด 7 วัน และตลอด 24 ชั่วโมง, การฝึกอบรมการบำรุงรักษาขั้นพื้นฐาน, การสอบเทียบเครื่องและการออกเอกสารรับรองเครื่องสำหรับหน่วยงานที่ต้องการ, การติดตามและรายงานผลสภาพการใช้งานของเครื่องจักร และมีศูนย์บริการเครื่องจักรและอะไหล่ที่พร้อมให้บริการลูกค้าได้ทันท่วงที
KTIS ปลื้มติดอันดับคำนวณ SET50
KTIS ยิ้มรับข่าวดีตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศหุ้น KTIS ติดอันดับคำนวณดัชนี SET50 มั่นใจได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้น โดยมีความพร้อมทั้งฐานเงินทุน ความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงพันธมิตรที่แข็งแกร่ง
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ เคทิส (KTIS) ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณดัชนีราคาหุ้น 50 หลักทรัพย์หรือ SET50 และดัชนีราคาหุ้น 100 หลักทรัพย์หรือ SET100 ในรอบระหว่างวันที่ 1 มกราคมถึง 30 มิถุนายน 2558 ปรากฏว่า หุ้น KTIS เป็นหนึ่งในหุ้นชุดใหม่ที่ได้รับการคัดเลือกในเข้าไปคำนวณรวมในดัชนี SET50 ด้วย
สำหรับหลักเกณฑ์ในการเลือกหุ้นเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะพิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ประกอบด้วย 1. หุ้นดังกล่าวจะต้องเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมหรือมาร์เก็ตแคปสูง 2. หุ้นดังกล่าวจะต้องมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงอย่างสม่ำเสมอ และ 3.มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยผ่านเกณฑ์ที่กำหนด โดยจะมีการปรับเปลี่ยนหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณทุกๆ 6 เดือน
“นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่หุ้นของ KTIS ได้รับการคัดเลือกให้คำนวณในดัชนี SET50 โดยก่อนหน้านี้ ทาง MSCI ซึ่งเป็นสถาบันการลงทุนรายใหญ่ของโลก ก็เพิ่งทบทวนหุ้นทั่วโลกที่จะนำเข้าคำนวณดัชนี MSCI รอบใหม่ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 โดยในครั้งนั้น หุ้น KTIS ก็ได้รับคัดเลือกให้เข้าไปคำนวณดัชนี MSCI Global Small Cap. ซึ่งแน่นอนว่า การได้รับคัดเลือกให้เข้าไปคำนวณในดัชนีสำคัญๆ ถึง 2 ดัชนี ที่เป็นดัชนีที่นักลงทุนสถาบันใช้เป็นตัวอ้างอิงในการตัดสินใจลงทุน จะทำให้หุ้น KTIS อยู่ในสายตานักลงทุนสถาบันมากยิ่งขึ้น” นายณัฎฐปัญญ์กล่าว
ด้านจุดเด่นที่สำคัญของ KTIS คือ เป็นกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม พลังงานไฟฟ้า และพลังงานทดแทนที่ครบวงจร ตั้งแต่ไร่อ้อย เข้าสู่กระบวนการผลิตน้ำตาล ไฟฟ้า เอทานอล เยื่อกระดาษ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องอื่นๆ อีกทั้งยังมีความพร้อมทางด้านฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง บุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ
รวมถึงพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่มซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น และ นิสชิน ชูการ์ ดังนั้น ที่ผ่านมา กลุ่มเคทิสจึงได้มีแนวทางในการขยายงานในหลายด้าน ทั้งในสายธุรกิจน้ำตาล และสายธุรกิจชีวพลังงาน โดยในสายธุรกิจน้ำตาลนั้นได้มีโครงการผลิตน้ำเชื่อม (Liquid Sucrose) และโครงการผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ (Super Refined Sugar) ที่บริเวณโรงงานน้ำตาลของเคทิส จ.นครสวรรค์
ขณะที่สายธุรกิจชีวพลังงาน ก็ได้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวลอีก 2 โรง กำลังการผลิตโรงละ 50 เมกะวัตต์ รวมเป็น 100 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 แห่งจะอยู่ในพื้นที่ติดกับโรงงานน้ำตาลที่จังหวัดอุตรดิตถ์ และที่จังหวัดนครสวรรค์ และยังมีโครงการผลิตปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพดี ในราคาที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพอ้อยอีกด้วย
“ปัจจัยทั้งหมดจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับเคทิส และเมื่อผนวกกับความเชื่อมั่นที่ได้รับจากนักลงทุนสถาบัน ภายหลังจากหุ้น KTIS เข้าไปคำนวณในดัชนี MSCI และดัชนี SET50 ก็จะยิ่งตอกย้ำให้หุ้นของบริษัทมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน” นายณัฎฐปัญญ์กล่าว
อนึ่ง บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ KTIS ยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาดราว 10% มีกำลังการผลิตรวม 88,000 ตันอ้อย/วัน และมีจุดเด่นคือโรงงานน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยกำลังการผลิต 55,000 ตันอ้อย/วัน สำหรับผลประกอบการในปี 2558-2559 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโต 35%
KMP อัดงบ 700 ลบ. ผุด รง.ใหม่รับปีแพะ
เค.เอ็ม.แพ็กเกจจิ้ง ทุ่มงบ 700 ลบ. เปิดตัวโรงงานใหม่และติดตั้งเครื่องจักรอีก 2 เฟส. หนุนเป็น “Green Energy Factory” และรองรับความต้องการของตลาดในอนาคต ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1,100 ลบ.
คุณพัสกร กมลสุวรรณ Executive Director บริษัท เค.เอ็ม.แพ็กเกจจิ้ง จำกัด หรือ KMP ผู้ผลิตถ้วยกระดาษและบรรจุภัณฑ์กระดาษสำหรับอาหารอันดับ 1 ในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอบางเสาธง โดยเริ่มดำเนินการเมื่อต้นปี 2557 ที่ผ่านมา บนพื้นที่ประมาณ 16 ไร่ ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 400 ล้านบาท ปัจจุบันได้เปิดตัวโรงงานอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา
สำหรับวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างดังกล่าว เนื่องจากพื้นที่ของโรงงานเดิมที่ตั้งอยู่ที่การเคหะบางพลีเต็มแล้วและไม่สามารถขยายได้อีก ดังนั้น ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีโปรเจคหาพื้นที่เพื่อก่อสร้างโรงงานบนพื้นที่ใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมแต่เป็นทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่เดิมเพื่อให้คนงานเดินทางมาทำงานได้อย่างสะดวกและไม่ต้องเปลี่ยนกลุ่มคนงานใหม่ โดยคนงานก็ยังมีรายได้เช่นเดิมทุกประการ
นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร “Green Energy Packaging” โดยบริษัทจะเน้นผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นมิตรต่อด้านพลังงานต่างๆ ทั้งหมด หรือเป็น “Green Energy Factory” โดยโรงงานแห่งนี้จะใช้ระบบประหยัดพลังงาน ซึ่งจะประกอบไปด้วย 1. การใช้หลอดไฟ LED ทั้งหมด 2. การติดตั้งระบบแอร์ชิลเลอร์ ซึ่งเป็นระบบปรับอากาศแบบระบบปิดที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ในระดับที่ต้องการและต้นทุนต่ำกว่าแอร์แบบปกติ 3. การติดตั้งระบบแอร์คอมเพรสเซอร์ ซึ่งเป็นระบบลมคุณภาพสูง สามารถวัดระดับความสูญเสียของลมควบคุมพลังงานลมต่างๆ ได้ค่อนข้างดี เนื่องจากบริษัทผลิตถ้วย หรือ Packaging หลากหลายชนิด จึงต้องใช้ลมในการผลิต 4. ลงทุนตัวอาคารทั้งหมดด้วยระบบ Isowall ซึ่งเป็นระบบกำแพงที่ค่อนข้างเหมาะกับการทำธุรกิจด้านอาหารเป็นอย่างมาก 5. มีระบบบำบัดน้ำเสียต่างๆ เนื่องจากในกระบวนการผลิตอาจเกิดน้ำเสีย ดังนั้นจึงเอาน้ำเสียทั้งหมดเข้าสู่ระบบและนำน้ำที่ได้บำบัดเสร็จแล้วไปปลูกต้นไม้และเลี้ยงปลาเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีน้ำเสียออกไปสู่อาคารและชุมชนโดยรอบ
คุณพัสกรกล่าวต่อถึงแผนการดำเนินงานปี 2558 ว่าบริษัทได้มีการลงทุนติดตั้งเครื่องจักรในโรงงงานใหม่เฟสแรกจำนวน 3 เครื่อง ซึ่งจะเป็นเกี่ยวกับระบบพิมพ์และระบบปั้ม โดยนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศเยอรมนีและประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใช้งบประมาณในการดำเนินการ 200 ล้านบาท ขณะนี้เสร็จเรียบร้อยและเดินเครื่องผลิตสินค้าแล้ว
ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการกำลังดำเนินการเฟส 2 อยู่ โดยเฟสนี้จะเน้นเป็น Automatic Forming Machine โดยนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศเยอรมนีเป็นหลักเพราะเป็นเครื่องจักรที่มีคุณภาพสูงและมีอายุการใช้งานค่อนข้างยาวนาน โดยจะนำเข้าเครื่องจักรตัวแรกประมาณเดือนเมษายนและหลังจากนั้นจะทยอยติดตั้งไปเรื่อยๆ จนแล้วเสร็จ ใช้งบประมาณในการลงทุน 100 ล้านบาท
“เดิมกำลังการผลิตถ้วยของเรามีกำลังการผลิตอยู่ที่ 3,000,000 ใบ/วัน หลังจากที่ติดตั้งเครื่องจักรเฟสแรกแล้วเสร็จเราสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 7,000,000 ใบ/วัน ซึ่งการเพิ่มกำลังการผลิตในครั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่คาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นในปีนี้และในอนาคต” คุณพัสกรกล่าว
ด้านยอดขายในปี 2557 ที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท ส่วนในปี 2558 บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ประมาณ 1,100 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มอีกประมาณ 44% ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เพราะมีการวางแผนกลยุทธ์ไว้เป็นอย่างดีเพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัท
คุณพัสกรกล่าวต่อถึงด้านการตลาดว่า เดิมบริษัททำการตลาดในเชิงรับแต่ในปีนี้มีการปรับกลยุทธ์เป็นการตลาดเชิงรุกมากขึ้น โดยจะเปิดออฟฟิศสำนักงานเพิ่มอีก 1 แห่ง สำหรับเซลล์มาร์เก็ตติ้งจะตั้งอยู่ใกล้เมืองมากขึ้น โดยอยู่ติดกับถนนบางนา กม.ที่ 4-6 ข้างตึก Nation เพราะบริษัทจะมองถึงความสะดวกในการเดินทางของลูกค้าเป็นหลักสำหรับการมาติดต่อกับบริษัท
“ถ้าให้ลูกค้าเดินทางมาที่บริษัทจะเป็นการลำบาก จึงตั้งออฟฟิศใหม่สำหรับเซลล์มาร์เก็ตติ้งซึ่งเป็นสถานที่ที่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายสำหรับลูกค้า โดยจะตั้งทีมเซลล์ขึ้นมาใหม่อีกทีมสำหรับออฟฟิศใหม่และจะนำทีมเซลล์กลุ่มนี้เพื่อไปเจาะกลุ่มตลาดในเมือง จะสามารถเข้าไปใช้ออฟฟิศได้ประมาณไม่เกินเดือนมีนาคมนี้” คุณพัสกรกล่าว
ส่วนการเจาะกลุ่มลูกค้าของบริษัทสำหรับตลาดบนจะเป็นตลาดที่เป็นแบรนด์พรีเมี่ยม ส่วนตลาดระดับกลางจะเน้นความเป็น Partnerships เพื่อให้สามารถเติบโตไปด้วยกันได้ ส่วนตลาดระดับล่างเน้นผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่างๆ ทั่วไปเพื่อที่จะช่วยลดต้นทุนให้กับตลาดระดับล่าง ซึ่งจะพยายามขายผ่านตัวแทนที่บริษัทมี
สำหรับแผนการตลาดในปีนี้จะพยายามเจาะกลุ่มธุรกิจมากขึ้น โดยจะมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ อาทิ นิตยสาร, คลื่นวิทยุ เป็นต้น โดยตั้งงบประมาณในด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ 15-20 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มการตลาดของธุรกิจที่ดำเนินการอยู่มีการแข่งขันสูงขึ้นทุกปี ซึ่งตัวแปรที่มีผลต่อการตลาดในประเทศไทยคงหนีไม่พ้นเรื่องการเมือง
คุณพัสกรกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้รับการรับรองมาตรฐานต่างๆ มากมาย ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นและการันตีคุณภาพได้เป็นอย่างดีให้กับลูกค้า อาทิ FSSC 22000, GMP CODEX, HACCP CODEX, ISO 9001 : 2008, ISO 22000 : 2005,EMS เป็นต้น นอกจากนี้ยังจะดำเนินการให้ได้รับ ISO 14001: 2004 ภายในปีนี้ด้วย
“ปัจจุบันนี้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากเราทำเกี่ยวกับกระดาษจึงทำระบบ FSC CoC (Forest Stewardship Council) ซึ่งเป็นระบบการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน โดยเราต้องการให้ความมั่นใจกับลูกค้าว่าผลิตภัณฑ์ของเราที่ผลิตจากกระดาษ ถ้วย และกล่อง จะใช้วัตถุดิบที่มาจากป่าไม้ที่ใดและประเทศใด เพื่อให้มั่นใจว่าเราเน้นคอนเซ็ปต์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” คุณพัสกรกล่าว
คุณพัสกรกล่าวต่อถึงจุดเด่นของบริษัทว่า บริษัทจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐาน และมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งบริษัทใส่ใจลูกค้าและมีความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยที่ลูกค้าจะได้รับกลับไปในทุกๆ อย่าง และตอบโจทย์ได้ว่าเมื่อใช้สินค้าของบริษัทเท่ากับเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สำหรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ตนมองว่ามีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ด้านจุดอ่อนของ AEC คือจะทำให้มีคู่แข่งขันจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น แต่บริษัทมีจุดยืนที่ชัดเจนดังนั้นจึงนำเอาจุดแข็งดังที่กล่าวมาเบื้องต้นไปแข่งขันกับตลาดต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีความมั่นใจว่าปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำทางด้าน Food Container รายหนึ่งในเอเชีย ซึ่งขณะนี้ได้มีการดิวงานกับลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจากเดิมบริษัทมียอดขายต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 2-3% ปัจจุบันมียอดขายเพิ่มขึ้นมาเป็น 7% และในปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 10% สำหรับลูกค้าต่างประเทศของบริษัท อาทิ สิงคโปร์, จีน, ออสเตรเลีย เป็นต้น
ในส่วนของการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ AEC บริษัทได้มีการพัฒนาเรื่องภาษาให้กับพนักงาน โดยเริ่มจากการจัดคอร์ทฝึกภาษาอังกฤษให้กับพนักงานระดับออฟฟิศทั้งหมด รวมทั้งภาษาอื่นๆ เพื่อรองรับแรงงานต่างด้าวที่จะมาทำงานให้กับบริษัท นอกจากนี้ ยังพยายามสื่อสารให้พนักงานต่างด้าวทราบว่าบริษัทไม่ได้ดูแลแค่เพียงจ้างงานเพียงอย่างเดียวแต่ต้องการให้ทราบว่าบริษัททำอะไรบ้างและดูแลอย่างดีเช่นเดียวกับแรงงานไทย ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานกว่า 400 คน
ด้านกิจกรรม CSR ที่ทำเป็นประจำคือการปลูกป่าโดยพาพนักงานทั้งองค์กรไปปลูกป่าชายเลนร่วมกัน โดยในปีนี้หรืออาจจะเป็นปีหน้าจะขยายผล โดยจะเชิญชวนลูกค้าและซัพพลายเออร์ให้มาร่วมปลูกป่ากับบริษัท ทั้งนี้บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์จากป่าดังนั้นจึงต้องสร้างป่าไม้เพื่อมาทดแทน
คุณพัสกรกล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับหลักการบริหารว่า ตนบริหารงานอย่างเป็นกันเองกับพนักงานทุกคน โดยจะไม่เน้นสั่งงานเพียงอย่างเดียวแต่จะเน้นการเกื้อกูลช่วยเหลือพึ่งพากันมากกว่าและสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานเพื่อให้เกิดบรรยากาศในการทำงานที่ดีเมื่อพนักงานมีความสุขเขาก็จะทำงานให้บริษัทได้อย่างเต็มที่
อนึ่ง บริษัท เค.เอ็ม.แพ็กเกจจิ้ง จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษสำหรับใส่อาหารเป็นบริษัทแห่งแรกในประเทศไทยที่ผลิตถ้วยกระดาษเคลือบ PE ที่เหมาะสำหรับใส่อาหารและเครื่องดื่มจากกระแสนิยมของประเทศแถบตะวันตก และรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบที่ต้องการความสะดวกสบายจึงมีความต้องการบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่อาหารและเครื่องดื่มที่สะอาด สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน เข้ามามีส่วนช่วยให้ชีวิตของเรานั้นง่ายขึ้น
นับจากวันที่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบันนี้ KMP มีถ้วยกระดาษที่หลากหลายสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งถ้วยกระดาษสำหรับใส่เครื่องดื่มร้อนและเย็น, ถ้วยไอศกรีม, ถังกระดาษ รวมถึงกล่องและถาดสำหรับบรรจุอาหารขนาดต่างๆ จากความมุ่งมั่นที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ให้ได้คุณภาพ KMP ได้มีการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการผลิตและบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าและแนวโน้มของตลาดที่เติบโตขึ้นในแต่ละปี
ปัจจุบัน KMP ได้รับการรับรองมาตรฐานตามระบบ ISO 9001: 2000 ซึ่งเป็นสิ่งที่การันตีในเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์และการบริการที่เป็นเลิศ KMP จึงมุ่งขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดต่างประเทศในหลายๆ ประเทศแถบเอเชีย โดย KMP ยังคงมีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเน้นการให้บริการแบบครบวงจร (One Stop Service) ให้กับตลาดทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ KMP ได้รับรองมาตรฐานตามระบบ ISO 22000 ซึ่งจะเน้นเพิ่มเติมเกี่ยวกับ GMP และ HACCP ซึ่งเป็นระบบเกี่ยวกับการจัดการบริหารความปลอดภัยด้านอาหารเพื่อให้ลูกค้าได้ใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษที่สะอาดและปลอดภัยต่อสุขภาพในปัจจุบัน KMP เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่อาหารที่มีความหลากหลายเหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละประเภททั้งเครื่องดื่มร้อน-เย็นไอศกรีม, ป๊อปคอน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมายด้วยการผลิตที่ได้มาตรฐาน
สำหรับวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต KMP จะเลือกใช้วัตถุดิบทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตจะต้องผ่านมาตรฐานการรับรอง FDA ส่วนวัตถุดิบที่สำคัญที่ใช้ในการผลิต คือ กระดาษ จะนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเป็นกระดาษ VIRGIN PULP จากไม้ป่าปลูกเพื่ออุตสาหกรรมไม่ทำลายธรรมชาติ ทั้งนี้บริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษรักษ์โลก ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยต่อผู้ใช้งานเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดด้วยคุณภาพที่คุมค่าและคุ้มราคาต่อไป
“อินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์” ประกาศศักยภาพคว้ารางวัล CSR-DIW 2014
ยักษ์ใหญ่ธุรกิจผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูก “อินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์” ได้รับรางวัล CSR-DIW Award ประจำปี 2557 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ตอกย้ำองค์กรที่มุ่งมั่นพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
คุณกิตติศักดิ์ รังนกใต้ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด (IFC) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกอย่างครบวงจรภายใต้มาตรฐานคุณภาพระดับสากล กล่าวว่า จุดเริ่มต้นในการทำ CSR ของบริษัท เกิดจากแนวคิดที่อยากคืน สิ่งดีๆ เพื่อตอบแทนสังคมด้วยรูปแบบของกิจกรรมและโครงการ ต่างๆ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้พนักงานได้พัฒนาตนเองและชุมชนอันเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศ นั่นคือ จุดสำคัญที่ทำให้เราได้รับรางวัล CSR-DIW Award ประจำปี 2557 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมตามโครงการส่งเสริมศักยภาพโรงงานมุ่งสู่การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน
การได้รับรางวัลในครั้งนี้นับเป็นก้าวแรกแห่งความสำเร็จของการเป็นโรงงานที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง (CSR-DIW CONTINUOUS) ซึ่งเป็นเครือข่ายในการร่วมดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมสู่บริษัทลูกค้า และบริษัทในกลุ่ม supply chain เพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจ สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และผู้จัดหาวัตถุดิบของบริษัทต่อไป โดยรางวัลดังกล่าวสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจของบริษัทที่กล่าวว่า “มุ่งมั่นสู่การเป็นทางเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้าด้านผลิตภัณฑ์กระดาษลูกฟูก ด้วยการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนบนความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม”
คุณกิตติศักดิ์ กล่าวถึงการบริหารงานให้ประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลว่า บริษัทดำเนินธุรกิจโดยปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่เป็นสากล (ISO26000) ครอบคลุมต่อผู้มีส่วนได้เสียของบริษัท เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนในด้านต่างๆ ได้แก่ 1. ด้านการศึกษาและเยาวชน 2. ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 3. ด้านกีฬา ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีท้องถิ่น 4. ด้านสังคมและชุมชน
นอกจากนี้บริษัทตระหนักถึงความสำคัญในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง จึงได้กำหนดรูปแบบกิจกรรมให้มีความชัดเจนเป็นรูปธรรมเพื่อให้เป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมตามแนวปฏิบัติหลัก 7 หัวข้อคือ 1. การกำกับดูแลองค์กร 2. สิทธิมนุษยชน 3. การปฏิบัติด้านแรงงาน 4. สิ่งแวดล้อม 5. การดำเนินอย่างเป็นธรรม 6. ประเด็นด้านผู้บริโภค และ 7. การมีส่วนร่วมและการพัฒนาชุมชน
“จะเห็นได้ว่าแต่ละหัวข้อล้วนมีความสอดคล้องต่อการดำเนินการของทุกฝ่ายในองค์กร ไม่เฉพาะหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น แต่ทุกฝ่ายต้องดำเนินการให้สอดคล้องและถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดมลพิษ มลภาวะ ต่อสังคมและลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจของบริษัท อันจะนำไปสู่ความเชื่อมั่น และความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ ตลอดจนชื่อเสียงของบริษัทที่ได้รับการยอมรับจากสังคมและลูกค้า....และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งดีๆ ที่ทำให้พนักงานทุกคนได้มีความภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรซึ่งทำประโยชน์ให้กับสังคม” คุณกิตติศักดิ์ กล่าว
{gallery}Biz_Interview/2015/bfi_024/interfiber/photo{/gallery}
อาปิโกเล็งเนรมิตโรงงานใหม่ Q2
อาปิโกเปิดแผนธุรกิจปีมะแม จับมือพันธมิตรจากโปรตุเกสเนรมิตโรงงานแห่งใหม่บนพื้นที่ 40 ไร่ที่นิคมอุตฯ เหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ดในไตมาส 2 ด้วยงบลงทุนราว 500 ลบ. รองรับการเติบโตของอุตฯ ยานยนต์เต็มสูบ วางเป้ารายได้ปีนี้ 1,600 ลบ.พร้อมประกาศความสำเร็จ 3 ทศวรรษ “อาปิโก กรุ๊ป” โดยฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ด้วยการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
คุณเย็บ ซู ชวน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด(มหาชน) หรือ AH หนึ่งในบริษัทชั้นนำของประเทศด้านการผลิตและออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์และชิ้นส่วน OEM เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนในปีนี้ว่า บริษัทมีแผนที่จะก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง บนพื้นที่ 40 ไร่ โดยเป็นการร่วมทุนกับบริษัท SODECIA จากประเทศโปรตุเกส เพื่อผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ปั๊มขึ้นรูปและบอดี้พาร์ทป้อนให้แก่ค่ายรถยนต์ฟอร์ด ในโครงการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ หรืออีโคคาร์เฟส 2
รวมทั้งเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ไป ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนในการดำเนินการประมาณ 400-500 ล้านบาท โดยมีแผนจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณไตรมาส 2 พร้อมทั้งมีกำหนดแล้วเสร็จปลายปี และจะเริ่มผลิตสินค้าในปี 2559
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายฐานธุรกิจไปยังต่างประเทศเพิ่มอีกด้วย ขณะนี้มองไปที่ประเทศมาเลเซีย, อินเดีย และอินโดนีเซีย เป็นหลัก เพื่อต้องการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบัน ค่าแรงงานและราคาวัตถุดิบในประเทศไทยแพงกว่าประเทศที่กล่าวมา รวมทั้งมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะระดับวิศวกรรมหรือผู้จัดการ ซึ่งหายากมาก โดยแตกต่างจากประเทศอินเดียที่จะหาได้ค่อนข้างง่ายกว่า อีกทั้งยังมีโรงงานผลิตเหล็กเอง ส่วนประเทศมาเลเซียยังมีจุดแข็งกว่าประเทศไทยคือประชาชนทุกคนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้หากมีโอกาสที่เหมาะสม บริษัทจะเริ่มดำเนินการอย่างทันที
คุณเย็บ ซู ชวนกล่าวต่อว่า ในปี 2558 กลุ่มบริษัทอาปิโกครบรอบ 30 ปีในการดำเนินธุรกิจหรือ 3 ทศวรรษ โดยเริ่มก่อตั้งบริษัท เอเบิล ออโตพาร์ท อินดัสตรีส์ (อาปิโก) จำกัด ในปี 2558 ซึ่งดำเนินธุรกิจเป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ฟอร์ด ต่อมาในปี 25538 ได้ก่อสร้างโรงงานแห่งแรกเพื่อผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้เริ่มผลิตสินค้าในปี 2540 โดยลูกค้ารายแรกคือ Auto Alliance Thailand (AAT)
สำหรับการดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในระยะแรกมียอดขายประมาณ 100 ล้านบาท หลังจากนั้น บริษัทมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายสูงสุดเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาที่ 1,600 ล้านบาท และในปี 2557 ที่ผ่านมายอดขายลดลงเล็กน้อยซึ่งอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ส่วนในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มจากปีที่ผ่านมาอีก 5% หรือมียอดขาย 1,600 ล้านบาท
“เราเริ่มต้นธุรกิจด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฟอร์ดเป็นเวลา 10 ปี หลังจากนั้นฟอร์ดได้เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย เราจึงได้มีการขยายธุรกิจใหม่คือรับจ้างผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งได้ลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งแรกที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค เราถือว่าเราเติบโตเร็ว โดยใช้เวลาประมาณ 15 ปี มีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 150 เท่าจากยอดขายในปีแรก 100 ล้านบาท ในปัจจุบันเราผลิตสินค้าป้อนให้กับค่ายรถยนต์ทุกค่าย โดยรถยนต์ทุกคันจะมีชิ้นส่วนยานยนต์จากอาปิโกทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโตโยต้า, นิสสัน, มิตซูบิชิ, ฟอร์ด, อีซูซุ มาสด้า และฮอนด้า เป็นต้น
ตลอดระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจ 3 ทศวรรษ เราถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เราสามารถผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ มากมาย เช่น ต้มยำกุ้ง, แฮมเบอร์เกอร์, น้ำท่วม, สึนามิ และความวุ่นวายทางการเมืองในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ธุรกิจรถยนต์ดร๊อปลงถึง 35% เป็นต้น ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว เราจะต้องผันวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยจะต้องมีการพัฒนาคน พัฒนาวิธีการดำเนินงาน พัฒนาเครื่องจักร และการเงิน โดยการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อเพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตและมีผลกำไร ส่วนในปีนี้ เรายังไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีวิกฤตอีกหรือไม่ แต่เราต้องคิดและเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ต่างๆ ไว้ตลอดเวลา” คุณเย็บ ซู ชวนกล่าว
รพ.กรุงเทพระยองคว้า 3 รางวัล “Thailand Energy Award”
รพ.กรุงเทพระยองโชว์ความสำเร็จคว้ารางวัล Thailand Energy Award ดีเด่น 3 รางวัลใหญ่ ด้านบุคลากรผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน ผู้บริหารอาคารควบคุม และด้านอนุรักษ์พลังงาน ประเภทอาคารควบคุม จากกระทรวงพลังงาน
นายแพทย์วสุ ริจิรานุวัตร รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพระยอง เปิดเผยว่า โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง ได้รับรางวัล “Thailand Energy Award” 3 รางวัล ในปี 2013 และปี 2014 จากกระทรวงพลังงาน เนื่องจากโรงพยาบาลเป็นอาคารควบคุมด้านการบริหารจัดการพลังงาน โดยรางวัลแรกได้รับในปี 2013 โดยนายสิริวงศ์ คงเทพ หัวหน้าแผนกวิศวกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง ได้รับรางวัลด้านบุคลากร ประเภทผู้รับผิดชอบด้านพลังงานอาคารควบคุมดีเด่น
ส่วนในปี 2014 ได้รับ 2 รางวัลคือ นพ.นรินทร์ บุญจงเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพระยอง (คนเก่า) ได้รับรางวัลด้านบุคลากร ประเภทผู้บริหารอาคารควบคุมดีเด่น และได้รางวัลด้านอนุรักษ์พลังงาน ประเภทอาคารควบคุมดีเด่น ซึ่งเป็นภาพรวมทั้งหมดของโรงพยาบาล
นายแพทย์วสุ กล่าวถึงการบริหารจัดการให้ประสบความสำเร็จจนได้รับทั้ง 3 รางวัลว่า เริ่มต้นจากแนวคิดว่าทำไมถึงมาจัดการด้านพลังงาน เนื่องจากเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจ และโรงพยาบาลก็เป็นส่วนหนึ่งในชุมชน ต้องช่วยกันดูแลเรื่องของสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การอนุรักษ์พลังงานเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน ตรงนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการทำเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน
ปัจจุบันโรงพยาบาลกรุงเทพระยองได้นำหลักการ 3 ส่วนมาใช้ในเรื่องการอนุรักษ์พลังงานประกอบด้วย หลักการแรก “Hardware” คือ อุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆ ซึ่งโรงพยาบาลจะเลือกใช้เฉพาะที่มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยในการลดการใช้พลังงานได้ เช่น พลังงานที่ใช้มากที่สุดของโรงพยาบาลคือ ระบบปรับอากาศ โดยจะเลือกใช้ Chiller หรือเครื่องทำความเย็นขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูงที่ช่วยประหยัดและลดการใช้พลังงานได้
หลักการที่สอง “Systemware” คือระบบในการจัดการพลังงานทั้งหมด ไม่ใช่มีแต่อุปกรณ์อย่างเดียว แต่ต้องมีระบบที่จะไปบริหารจัดการด้วย และหลักการสุดท้ายซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดคือ “Peopleware” คือ บุคลากร เพราะสิ่งที่จะไปจัดการเรื่องระบบหรือเครื่องจักรอุปกรณ์ทั้งหมดคือคน ตั้งแต่ในส่วนของวิศวกรรมเองที่จะต้องมีความรู้ความสามารถมาจัดการได้ ซึ่งตรงนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการได้รับรางวัลผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน และไม่ใช่แค่วิศวกรรมที่เป็นคนทำเรื่องพลังงานเท่านั้น ทุกระดับในองค์กร เริ่มตั้งแต่ผู้บริหารสูงสุด ท่านผู้อำนวยการ ทีมงานที่รับผิดชอบด้านต่างๆ ไปจนถึงพนักงานระดับปฏิบัติการทุกคน
“เรามีเป้าหมายเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน มีการให้ความรู้สร้างจิตสำนึก และที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมของพนักงานทุกคนในโรงพยาบาล ซึ่งการได้รับรางวัลไม่ได้เป็นจุดประสงค์หลักว่าทำแล้วต้องได้รางวัลหรือเพื่อให้ได้รางวัล แต่เราทำเพราะต้องการให้มีการอนุรักษ์พลังงานจริงๆ ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมจริงๆ และต้องทำให้ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน ตามหลักการ 3 ข้อ นี้คือแนวคิดหลักที่ต้องทำให้ต่อเนื่อง” นายแพทย์วสุ กล่าว
22 ปี โตว่องไวเปิดตัวปั้นจั่น 9 ขา นวัตกรรมใหม่ของโลก
โตว่องไวครบรอบ 22 ปี โชว์ศักยภาพเปิดตัวปั้นจั่นตอกเสาเข็ม 9 ขา นวัตกรรมใหม่ของโลก รุกตลาด AEC ตั้งเป้าปีนี้ 15 คันเน้นงานวิจัยเป็นหลัก ดันโครงการ “We Care Concept” ทางเลือกใหม่สำหรับนักธุรกิจ
คุณไพศาล ว่องไวกลยุทธ์ ประธานกรรมการ บริษัท โตว่องไว จำกัด ผู้ผลิตรถตอกเสาเข็มสิทธิบัตรแรกของโลก เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 22 ปี บริษัทได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่และจดสิทธิบัตรแล้วคือ ปั้นจั่นตอกเสาเข็ม 9 ขา ที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างทั้งในและต่างประเทศได้ อีกทั้งรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในช่วงปลายปีนี้อีกด้วย
สำหรับปั้นจั่นตอกเสาเข็ม 9 ขา เป็นนวัตกรรมใหม่รายแรกของโลกที่บริษัทคิดค้นขึ้นมาสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง เดินลงน้ำได้โดยไม่ต้องทำนั่งร้าน ตอกและเจาะได้ด้วยระบบอัตโนมัติ สามารถสโลปตั้งได้ภายใน 1 นาที ที่สำคัญคือราคาถูกทนทานและมีน้ำหนักเบาเพียง 16 ตัน
คุณไพศาลกล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรถตอกเสาเข็มไว้ที่ 15 คัน เนื่องจากบริษัทมีธุรกิจหลายประเภท อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี จึงต้องลดเป้าหมายลงแต่มาเน้นการทำวิจัยมากขึ้น เพื่อประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ออกมาทดแทนของเก่าเพื่อให้ลูกค้าได้สินค้าที่มีคุณภาพ น้ำหนักเบาราคาถูกลง ทั้งนี้คาดว่าปี 2559 จะสามารถกลับมามียอดจำหน่ายได้เท่าเป้าหมายเดิมคือ 70 คัน
"สำหรับตลาดต่างประเทศ ขณะนี้รถตอกเสาเข็มมีแนวโน้มสดใสมาก โดยเฉพาะตลาดในเมียนมาร์ ซึ่งตอนนี้มีปัญหาเรื่องถนนภายในประเทศและสะพานต่างๆ โดยเฉพาะสะพานที่ไม่สามารถรองรับรถบรรทุกขนาด 30-40 ตันได้ รับได้แค่ 16 ตัน เราจึงไม่สามารถนำรถตอกเสาเข็มแบบเดิมเข้าไปได้ อีกอย่างคือเรื่องรถที่จะใช้เคลื่อนย้ายในเมียนมาร์ ซึ่งหายากมาก ปั้นจั่นตอกเสาเข็ม 9 ขาจึงเข้าไปตอบโจทย์ปัญหาในเมียนมาร์ได้เพราะมีน้ำหนักเบา สามารถเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นดินโคลนและใช้เวลาการติดตั้งไม่นาน ส่วนตลาดในประเทศลาว ล่าสุดบริษัทได้เซ็นลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับทางคหบดีทางการค้าในประเทศลาว เรื่องการเป็นตัวแทนรถตอกเสาเข็มให้กับบริษัท โตว่องไว จำกัด” คุณไพศาลกล่าว
คุณไพศาลกล่าวต่อถึงโครงการสำหรับคนอยากทำธุรกิจรถตอกเสาเข็ม “We Care Concepts” ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมาว่า ปัจจุบันมีผู้สนใจอยากลงทุนในธุรกิจก่อสร้างเป็นจำนวนมาก คาดว่าจะมียอดขายรถจากโครงการนี้ ณ สิ้นปี 2558 ประมาณ 250 ล้านบาท หรือประมาณ 50 คัน
ทั้งนี้ โครงการ “We Care Concept เป็นคอนเซ็ปต์งานที่โตว่องไวคิดขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ สำหรับนักธุรกิจที่ต้องการทำธุรกิจรถตอกเสาเข็ม โดยเน้นที่นักธุรกิจหรือนักลงทุนซึ่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับรถตอกเสาเข็มมาก่อน มีความสนใจอยากลงทุนในธุรกิจ โดยมีการอบรมทั้งด้านการบริหาร การตลาด และการบำรุงรักษารถ