
Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
Dusit International Rebrand and Launch “Dusit Thani Krabi Beach Resort”
Dusit International presented the strategies plan in 3 years to set goals for expanding 30 hotels branch in global market. Also Dusit International and MBK Hotel and Resort announced the launch of the “Dusit Thani Krabi Beach Resort”.
Mr. Rustom Vickers, Group Director of Development said that Dusit International and MBK Hotel and Resort announced at a signing ceremony and launch of the “Dusit Thani Krabi Beach Resort” on 23 March 2015. Also it was announced Dusit will rebrand the property from 1 July 2015.
The Dusit Thani Krabi Beach Resort, located on a secluded stretch of the beautiful Klong Muang Beach, will boast a fresh, modern-Thai design that capitalizes on the surrounding lush, tropical landscape. The resort will offer 240 spacious and inviting guest rooms, 3 restaurants, 1 bar, 2 beachfront swimming pools, meeting facilities, a Spa, a gym, a club lounge and a kid’s club, making it an excellent choice for leisure travelers and bespoke events.
“In the next 3 years of business plan, the Dusit International continues to pursue international expansion, but Thailand definitely plays a role in our growth plans. The Dusit plan to announced and launch over new 30 hotels such as 15 hotels in China, 5 hotels in Philippine, 5 hotels in Vietnam and Myanmar, and others country in Thailand, Middle East and Asia. Currently the Dusit International is included over 32 hotels. So the Dusit will get the goal about 55 hotels within 3 years. In the next 5 years, the Dusit expect the goal on 75 hotels in global market.” Mr. Rustom Vickers said
Dusit International has over 65 years of experience in the hotel and hospitality field. Founded in 1949 by Honorary Chairperson Thanpuying Chanut Piyaoui, whose first hotel was the Princess on Bangkok's New Road, Dusit International has since acquired a unique portfolio of distinctive hotels, building upon Thai culture and tradition to create a personalized welcome for all guests made distinctive under the Dusit International brand promise; the delivery of an “experience that enlivens the individual spirit, no matter the journey”.
Dusit International comprises unique hotel and resort brands:
Dusit Thani Hotels & Resorts : Traditional Thai grandeur, a rich heritage and world-renowned hospitality. Dusit Thani Hotels & Resorts is an up-market, full-service brand which embodies the richness and tradition of Thai culture.
dusitD2 hotels & resorts : Contemporary colourful chic and a refreshing sense of playfulness. dusitD2 represents a colourful lifestyle – catering to the needs and desires of today’s new generation traveller – with a distinctive combination of chic design, forward-thinking technology, convenience, comfort and smart service.
Dusit Princess Hotels and Resorts : Welcoming – Efficient – Affordable. Dusit Princess Hotels and Resorts are mid-market, full-service properties reflecting the city or area in which they are located. Each hotel or resort, with its own distinctive personality and understated elegance combined with efficient practicality, embraces the culture and character of its surrounds. Welcoming and uncomplicated, Dusit Princess is ideal for the no-nonsense traveller.
Dusit Devarana Hotels & Resorts : An intimate sanctuary of cultured refinement for the exacting well-travelled individual. Catering to the high-powered, discerning sophisticate, Dusit Devarana is a significant niche offering that leverages Dusit International's rich cultural heritage and history of service excellence to offer an intimate, high-end sanctuary experience.
Dusit International is a subsidiary of Dusit Thani Public Company Limited, whose shares are traded on the Stock Exchange of Thailand.
MMS เปิดเกมรุกเร่งขยายสาขารับ AEC
MMS อัดงบ 15-20 ลบ. ผุดสาขาล่าสุดที่จังหวัดอุบลราชธานี รับ AEC เตรียม Grand Opening เม.ย.นี้ เล็งเป้าปีนี้กว่า 400 ลบ. พร้อมลั่นภายในปี 59 ปักธงครบ 24 สาขา
คุณสุเมธ ใจโต กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ MMS ผู้ให้บริการศูนย์รถยนต์ครบวงจร สำหรับรถที่หมดระยะรับประกัน "เอ็มเอ็มเอส บ๊อชคาร์เซอร์วิส" ในเครือบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีศูนย์บริการ MMS ทั้งหมด 11 สาขา โดยตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ 7 สาขา และต่างจังหวัด 4 สาขา ซึ่งประกอบด้วย ระยอง, บางแสน, พัทยา และอุบลราชธานี
สำหรับสาขาบางแสนและพัทยาได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 23-24 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ส่วนสาขาล่าสุดในจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเป็นสาขาที่ 11 จะตั้งอยู่ด้านหลังเซ็นทรัลเฟสติวัล จังหวัดอุบลราชธานี ใช้งบประมาณในการดำเนินการ 15-20 ล้านบาทโดยได้ Soft Opening ไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในจังหวัด ส่วนการ Grand Opening กำหนดไว้ประมาณเดือนเมษายน 2558 ที่จะถึงนี้
นอกจากนี้ บริษัทจะพยายามปรับทัศนคติของลูกค้าให้เข้าใจว่าบริษัทเป็นศูนย์บริการครบวงจรสำหรับรถหมดระยะรับประกัน โดยเมื่อลูกค้าหมดประกันกับศูนย์รถแล้วก็สามารถเข้ามารับการบริการกับศูนย์บริการของบริษัทได้ โดยจะมีราคาถูกกว่าศูนย์บริการที่จำหน่ายรถยนต์อย่างน้อย 20% แต่คุณภาพเทียบเท่ากัน และใช้สินค้า รวมทั้งอะไหล่ผ่านมาตรฐานจากโรงงานผู้ผลิต
“สาขาที่อุบลฯ จะตั้งอยู่ บริเวณพื้นที่จอดรถด้านหลัง เซ็นทรัลพลาซ่า ดังนั้นเมื่อลูกค้านำรถเข้ามารับการบริการกับเราก็สามารถนำรถมาทิ้งไว้ที่เราได้ ในช่วงที่เราทำการซ่อมรถ ลูกค้าสามารถเดินไปช้อปปิ้งหรือทานอาหารแบบสบายๆ โดยไม่ต้องมานั่งรอซ่อมรถ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราคิดเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้รับการบริการอย่างเต็มที่” คุณสุเมธ กล่าว
คุณสุเมธ กล่าวต่อว่า สาขาต่อไปที่จะเปิดเป็นสาขาที่ 12 คาดว่าจะเปิดที่ฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ หรือในหัวเมืองต่างจังหวัดใหญ่ๆ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเปิดที่ภาคใต้ในจังหวัดภูเก็ต สำหรับเหตุผลที่เลือกจังหวัดภูเก็ตเนื่องจากพิจารณาจากศักยภาพในด้านทำเล และปริมาณกลุ่มผู้บริโภคซึ่งมีความต้องการใช้รถเป็นจำนวนมาก ดังนั้นบริษัทจึงต้องการที่ตอบสนองทางด้านบริการให้กับลูกค้าในจังหวัดภูเก็ตให้ได้รับการบริการที่ดีอย่างเต็มที่
ด้านหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกทำเลการเปิดสาขาจะพิจารณาจากพฤติกรรมการใช้รถของผู้บริโภคในปัจจุบันว่ามีความต้องการมากน้อยเพียงใด และเมื่อบริษัทไปเปิดสาขาในสถานที่ใดจะเน้นการบริการเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดเมื่อมาใช้บริการกับบริษัท ส่วนแนวโน้มการให้บริการทั่วๆ ไปจะพยายามให้เข้าถึงลูกค้ามากยิ่งขึ้นเป็นหลัก โดยจะโฟกัสไปที่ศูนย์คอมมูนิตี้มอลล์เพราะลูกค้าสามารถไปเดินช้อปปิ้งได้ขณะเอารถมาใช้บริการกับบริษัท
สำหรับเป้าผลประกอบการในปี 2558 ตั้งเป้าไว้ที่ประมาณกว่า 400 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้เนื่องจากมีการขยายสาขาและการตอบรับจากลูกค้าผ่านการทำโปรโมชั่นต่างๆ ส่วนจุดเด่นของบริษัทคือเป็นธุรกิจที่เป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคในราคาที่คุ้มค่าและเหมาะสม และเป็นธุรกิจของคนไทยจึงสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่เนื่องจากทราบความต้องการของคนในประเทศได้เป็นอย่างดี
คุณสุเมธ กล่าวต่อถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทว่า ภายในปี 2559 คาดว่าจะสามารถเปิดสาขาได้ครบ 24 แห่ง โดยจะคลอบคลุมในพื้นที่หลักของกรุงเทพมหานคร และคลอบคลุมในจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีประชากรผู้บริโภคอยู่เยอะ ซึ่งจะใช้งบลงทุนรวมประมาณกว่า 200 ล้านบาท สำหรับสาขา Stand Alone ใช้งบประมาณ 20-25 ล้านบาท/แห่ง แต่ถ้าอยู่ในคอมมูนิตี้มอลล์และสถานีบริการเชื้อเพลิงจะใช้งบประมาณ 10-15 ล้านบาท/แห่ง
สำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC นับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับบริษัทเนื่องจากบริษัทมีสาขาที่อุบลราชธานี โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และต่อไปจะตั้งที่จังหวัดภูเก็ตดังนั้นในอนาคตจะกระจายในด้านการส่งสินค้าและมาตรฐานได้เท่าเทียมกันในทุกสาขา ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จะตอบสนองผู้บริโภคได้ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี
ด้านหลักการบริหารงาน บริษัทมีวัตถุประสงค์หลักที่ยึดถือปฏิบัติเสมอมาประกอบด้วย 1. การทำธุรกิจจะต้องดึงลูกค้าเพื่อมาอยู่ในจุดศูนย์กลางของบริษัท 2. การทำธุรกิจจะต้องจริงใจเชื่อใจซึ่งกันและกันกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับบริษัท 3. การบริหารการจัดการต้องบริหารอย่างยุติธรรม 4. การสร้างแนวคิดให้พนักงานทำงานเสมือนเป็นธุรกิจของตนเองเพื่อที่จะได้เติบโตไปด้วยกัน
บีโอไอหนุนจิคุมะเนรมิตโรงงาน จ.ระยอง
จิคุมะ ทุ่มงบกว่า 200 ลบ. ปักหมุดโรงงานผลิตชิ้นส่วนขึ้นรูปที่นิคมอุตฯ เหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ รองรับกลุ่มลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่นที่ย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย ชูจุดเด่นนวัตกรรมการผลิตที่ล้ำสมัย พร้อมการันตีด้วยผลงานในค่ายยานยนต์ชั้นนำจากทั่วโลก
Mr. Eiji Mizutani, Executive Vice President and Managing Director บริษัท จิคุมะ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูปตามความต้องการของลูกค้า โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแนวคิดริเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูปในประเทศไทย หลังจากได้รับการร้องขอจากกลุ่มลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นที่ย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทยให้มาเปิดโรงงานผลิตที่นี้ เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมเรื่องโลจิสติกส์ และลดต้นทุนในเรื่องส่วนต่างของค่าเงินที่ก่อนหน้านี้จะต้องแปลงค่าเงินจากเงินเยนเป็นดอลล่าร์สหรัฐฯ และจากดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็นเงินบาท
“จิคุมะ ในประเทศไทย ก่อตั้งเดือนมกราคม 2555 ด้วยการลงทุนซื้อที่ดินจากนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง 8.9 ไร่ มีพื้นที่การใช้งานกว่า 14,064 ตร.ม. และต่อมาจัดตั้งบริษัทเมื่อเดือนเมษายนในปีเดียวกัน โดยมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 75 ล้านบาท หลังจากนั้นได้ก่อสร้างโรงงานผลิตเมื่อเดือนกันยายน 2556 โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในเดือนมิถุนายน 2557
เราใช้งบประมาณในการก่อสร้างโรงงานกว่า 200 ล้านบาท โดยเน้นการใช้เครื่องจักรระบบออโตเมติกที่ใช้จำนวนคนคุมเครื่องจักรจำนวน 5 เครื่อง/1 คนเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เราสามารถตรวจสอบคุณภาพ (QC) ได้ทุกขั้นตอนในการผลิตอย่างละเอียดผ่านระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับวัตถุดิบในการผลิต ประเภทอลูมิเนียมและเหล็ก จะนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด” Mr. Eiji Mizutani กล่าว
Mr. Eiji Mizutani กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน บริษัทใช้พื้นที่เพียงครึ่งเดียวจากพื้นที่ทั้งหมด โดยมีกำลังการผลิตกว่า 800,000 ชิ้น/เดือน จากการติดตั้งเครื่องจักรเพียง 3 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น หากติดตั้งเครื่องจักรเต็มพื้นที่คาดว่าจะสามารถรองรับกำลังการผลิตได้ถึง 3,000,000 ชิ้น/เดือน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนในอนาคตภายใน 5 ปีนี้ สำหรับการก่อสร้างโรงงานหลังใหม่ในพื้นที่ส่วนที่เหลือ เพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้นอีกใน 8 ปีข้างหน้า ซึ่งในขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในโซน 3 เพิ่มเติม พร้อมๆ กับการจัดทำระบบภายในโรงงานเพื่อให้ได้รับมาตรฐาน ISO 9001
ส่วนกลุ่มเป้าหมายของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือ กลุ่มลูกค้าที่มีฐานการผลิตอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ฮิตาชิ ฟอร์ด นิสสัน เป็นต้น ซึ่งบริษัทแม่จะรับผิดชอบในการติดต่อเรื่องการซื้อขายและกระจายสินค้าให้แก่ลูกค้าโดยตรง อาทิ สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก, จีน และอินเดีย เป็นต้น สำหรับส่วนที่สอง คือ กลุ่มลูกค้าที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย เช่น ฮิตาชิ โรงงานฉะเชิงเทราและโคราช และบริษัทค่ายยานยนต์ญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งบริษัทจะส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายไปติดต่อโดยตรง เพื่อเริ่มการตลาดในประเทศไทย
สำหรับสิ่งที่อยากจะฝากไปถึงภาครัฐคือการปรับปรุงและซ่อมแซมถนนเศรษฐกิจเส้น 331 บริเวณถนนสายหลักด้านหน้าทางไปแหลมฉบัง เนื่องจากเป็นถนนเส้นสำคัญที่ใช้ในการขนส่งสินค้าเป็นจำนวนมากทั้งนำเข้าและส่งออกต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันถึงแม้จะมีระบบการจัดเก็บสินค้าในระหว่างการขนส่งที่รัดกุมแล้ว แต่สินค้าก็ยังเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลในจุดนี้ด้วย
อนึ่ง บริษัท จิคุมะ (ประเทศไทย) จำกัด มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Shizuoka ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน มีโรงงานผลิตในประเทศไทยที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 100 นาที และเดินทางไปท่าเรือแหลมฉบังเพียง 30 นาที
อินทรี ซุปเปอร์บล็อกเพิ่มกำลังการผลิตรุกตลาดปีมะแม
อินทรี ซุปเปอร์บล็อกอัดฉีดเพิ่มกำลังผลิตโรงงานทั้ง 2 แห่ง หวังรุกขยายตลาดลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเต็มพิกัดในปีนี้ พร้อมเล็งโตกว่า 50% ชูจุดเด่นคว้ารางวัล “ฉลากเขียว” เจ้าแรกในไทย
ดร.จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก จำกัด ในเครือบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด(มหาชน) หรือ “ปูนอินทรี” เปิดเผยว่า บริษัทซื้อสินทรัพย์การผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบา (Autoclaved Aerated Concrete) เกรด 4 มาจากบริษัท ซุปเปอร์บล๊อก จำกัด(มหาชน) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2556 ด้วยทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท โดยโรงงานตั้งอยู่ที่ อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี มีเนื้อที่รวม 58 ไร่
สำหรับโรงงานที่ จ.สิงห์บุรี ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ในการปรับปรุงและเพิ่มเครื่องจักรใหม่รวมทั้งปรับปรุงระบบด้าน Safety ให้เป็นไปตามมาตรฐานของปูนอินทรี หลังจากที่ดำเนินการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วในปี 2558 บริษัทจะมีกำลังผลิตเพิ่มเป็น 6.1 ล้านตารางเมตรต่อปี
นอกจากนี้เมื่อปลายปี 2556 บริษัทยังขยายโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ใน อ.เมือง จ.ราชบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ซึ่งเป็นการซื้อสินทรัพย์การผลิตจาก บริษัท พรอสเพอริตี้ คอนกรีต จำกัด ในราคา 200 ล้านบาท และได้ลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรและในส่วนต่างๆ อีกประมาณ 20 ล้านบาท ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 1.6 ล้านตารางเมตรต่อปี
ดร.จิรัฏฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับยอดขายในปี 2557 บริษัทมีการเติบโตกว่าปี 2556 ที่ผ่านมาประมาณ 20% ส่วนในปี 2558 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตกว่า 50% ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้เนื่องจากมีทีมขายที่เพิ่มขึ้นและมีกลยุทธ์ที่วางแผนผลักดันไปให้ถึงเป้าหมายไว้รองรับอยู่แล้ว ด้านแผนการลงทุนในปี 2558 ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้นและการลด ส่วนการลงทุนภายนอกจะมองหาโอกาสที่จะขยายการลงทุนหรือไปซื้อสินทรัพย์ต่อ
ส่วนการเจาะกลุ่มลูกค้าจะพยายามขยายไปในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะปีนี้จะขยายไปในตลาดภาคใต้ให้เต็มพื้นที่ เนื่องจากมีโรงงานตั้งอยู่ที่ราชบุรีจึงสามารถเดินทางกระจายไปภาคใต้ได้อย่างสะดวก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในปีนี้ที่ตั้งเป้าไว้สูง จึงต้องมีการขยายตลาดไปในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น
“กลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ที่รับงานจากดีเวลลอปเปอร์ใหญ่ๆ รู้จักและใช้อิฐมวลเบา แต่ผู้รับเหมารายย่อยยังไม่ค่อยใช้มากนัก เราจะขยายตลาดมากขึ้น โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าในกรุงเทพฯ เน้นกลุ่มคอนโดมิเนียม ส่วนในต่างจังหวัดเน้นกลุ่มโครงการหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งจะทำให้ตลาดเรากว้างมากขึ้น” ดร.จิรัฏฐ์ กล่าว
ดร.จิรัฏฐ์ กล่าวอีกว่า บริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาเกรด 4 ได้แก่ บล๊อกก่อผนัง แผ่นผนังสำเร็จรูป และเสาเอ็นทับหลังสำเร็จรูป ภายใต้เครื่องหมายการค้า “อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก” โดยใช้เครื่องจักรเทคโนโลยีของ WEHRHAHN จากประเทศเยอรมนี
นอกจากนี้ ยังจำหน่ายวัสดุก่อฉาบของอินทรีมอร์ต้าร์แม๊กซ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาของบริษัทผ่านการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.1505-2541) เป็นรายแรกในประเทศไทย และได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001: 2000 เป็นแห่งแรกของผู้ผลิตคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำในประเทศไทยด้วย
สำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 คาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะบูมแต่จะมีปัญหาด้านแรงงานตามมา เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายในปัจจุบันขาดแคลนแรงงาน ซึ่งถ้าเปิด AEC ค่าแรงในประเทศของแรงงานที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอาจจะมีการปรับตัวสูงขึ้น และอาจส่งผลให้แรงงานที่เคยทำงานอยู่ในประเทศไทยกลับประเทศของตัวเอง ซึ่งจะทำให้เป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับประเทศไทย ส่วนการเตรียมความพร้อมของบริษัทคือบริษัทมีทีมเซลล์ที่ชัดเจนมากขึ้นเพื่อจะบุกทำการตลาดได้อย่างเต็มที่
ส่วนจุดเด่นของบริษัทคือคุณภาพมาตรฐานโดยจะผลิตเฉพาะสินค้าเกรด G4 เท่านั้น โดยล่าสุดบริษัทได้รับรางวัล “ฉลากเขียว” ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อผนังเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาในประเทศไทยจากมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งการที่จะได้รางวัลมานั้น บริษัทต้องพัฒนาและวิจัยขั้นตอนในการผลิตเพื่อให้เกิดกระบวนการ Reuse และ Recycle โดยต้องมีวัตถุดิบที่เป็นการ Reuse และ Recycle เกินกว่า 40% จึงจะได้รับรางวัลดังกล่าว
ด้านกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility หรือ “CSR”) จะมีการจัดกิจกรรมเป็นประจำทุกๆ เดือน สำหรับโรงงานที่ จ.สิงห์บุรี การจัดกิจกรรม CSR ส่วนใหญ่จะเป็นการช่วยเหลือชุมชุนที่อยู่โดยรอบโรงงานในรัศมี 3 กม. อาทิ โรงเรียน, วัด และสถานที่ราชการ เป็นต้น แต่ในปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานที่ จ.ราชบุรีด้วยจึงคาดว่าจะสลับกันทำเดือนละครั้ง โดยมีโจทย์เหมือนกันคือตั้งอยู่ใกล้โรงงานในรัศมี 3 กม. โดยจะช่วยเหลือในสิ่งที่ยังขาดแคลน นอกจากนี้ยังสนับสนุนอิฐมวลเบาโดยนำไปหย่อนไว้ใต้ทะเลเพื่อให้เป็นที่อยู่ของปะการังอีกด้วย