บี ที วาย เนรมิต “The Series Udomsuk”
B T Y ผุดโครงการ The Series Udomsuk มูลค่าโครงการรวมกว่า 700 ลบ. ชูจุดเด่นคอนโดมิเนียมไฮเทคตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ด้วยระบบ Video Door Phone และ Home Automation System
คุณกีรติ วงศ์วิสุทธิรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี ที วาย ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยเกี่ยวกับรายละเอียดโครงการ The Series Udomsuk ว่า เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อปลายปี 2554 บนพื้นที่ 1,225 ตร.ว. โดยมีทั้งหมด 2 เฟส ซึ่งแต่ละเฟสประกอบด้วย 1 อาคาร ขนาดความสูง 8 ชั้น มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 700 ล้านบาท โดยทั้ง 2 อาคาร มีสิ่งอำนวยความสะดวกแยกออกจากกัน อาทิ ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ เป็นต้น สำหรับทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่ที่ซอยอุดมสุข อุดมสุข 29 และในชั่วโมงเร่งด่วนผู้พักอาศัยสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ใกล้ BTS อุดมสุข
สำหรับเฟสแรกมีจำนวน 167 ยูนิต ขณะนี้งานโครงสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนงานสถาปัตยกรรมแล้วเสร็จ 30% คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าได้ในไตรมาส 2 ปี 2558 โดยสามารถรองรับรถได้ประมาณ 60% ของพื้นที่ทั้งหมด และเริ่มเปิดการขายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขาย 80% คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ 100% ก่อนสิ้นปี 2558 ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท
ส่วนเฟสที่ 2 มีจำนวน 228 ยูนิต ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 10% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2559 โดยเริ่มเปิดขายเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้วประมาณกว่า 10% คาดว่าจะปิดการขายได้ในไตรมาส 2 ปี 2559 สามารถรองรับรถได้ประมาณ 45% ของพื้นที่ทั้งหมด ราคาเริ่มต้นที่ 1.39 ล้านบาท
คุณกีรติกล่าวต่อว่า จุดเด่นของโครงการคือเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยจะมีระบบ Video Door Phone และ Home Automation System รวมทั้งความปลอดภัยไว้รองรับให้กับผู้พักอาศัยอย่างเต็มที่
“เราจะเน้นเรื่องความสะดวกสบายและเทคโนโลยีไฮเทคเข้ามาใช้ในโครงการ ซึ่งจะมีทั้ง Home Automation System ที่โครงการอื่นๆ ไม่ค่อยจะนำมาใช้ เนื่องจากมีต้นทุนค่อนข้างสูง และมีระบบความปลอดภัยที่เป็น Video Door Phone รวมทั้งลิฟท์ล็อคชั้นเข้ามาใช้ในโครงการด้วย
โดยระบบ Home Automation เป็นระบบที่ผู้พักอาศัยสามารถควบคุมไฟฟ้าในห้องได้แม้ตัวเองจะไม่ได้อยู่ในที่พักอาศัยซึ่งจะควบคุมผ่านแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน สะดวกสบายเป็นอย่างมากสำหรับผู้พักอาศัย เช่น ถ้าเราอยู่ที่ทำงานก็สามารถสั่งเปิดแอร์ไว้รอก่อนได้ก่อนที่จะมาถึงห้อง เป็นต้น ส่วน Video Door Phone หน้าจอคล้ายทีวีที่สามารถมองเห็นคนภายนอกที่มาติดต่อขอพบเราได้ ซึ่งเป็นความสะดวกและปลอดภัยสำหรับลูกค้าที่พักอาศัย” คุณกีรติกล่าว
ด้านกลุ่มลูกค้าของบริษัทจะเจาะกลุ่มผู้พักอาศัยที่พักอาศัยอยู่จริง เนื่องจากเป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ในตลาด จึงไม่เน้นไปที่นักลงทุนที่ซื้อมาเพื่อนำไปขายต่อหรือให้เช่า แต่จะเจาะกลุ่มลูกค้าที่กำลังจะมีครอบครัวและคนที่ทำงานในพื้นที่ใกล้เคียงกับโครงการ เป็นต้น ส่วนงบที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ทางด้านการตลาดจะใช้ประมาณ 3% ของมูลค่าโครงการ อาทิ นิตยสาร, อินเตอร์เนต, บิลบอร์ด, ออกบูธ เป็นต้น
คุณกีรติกล่าวต่อถึงแผนโครงการในอนาคตว่า ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการศึกษาข้อมูลเพื่อดำเนินโครงการต่อไป ซึ่งกำลังศึกษา 2-3 พื้นที่ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเป็นพื้นทีใด โดยมีพื้นที่รองรับไว้อยู่แล้วในบริเวณใกล้เคียงกับโครงการเดิม
ส่วนแนวโน้มทางด้านการตลาดของธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ปัจจุบันมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงต้องมีไอเดียร์ใหม่ๆ ในการทำสื่อให้ลูกค้าสนใจ ซึ่งต้องมีจุดต่างกว่าคนอื่นและไม่ซ้ำใครจึงจะอยู่ได้ ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องเพราะไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนไป โดยปัจจุบันคนจะแยกตัวออกมาจากครอบครัวเพื่อมาอยู่คนเดียวเร็วขึ้น และคนรุ่นใหม่จะใช้คอนโดมิเนียมเป็นที่พักอาศัยมากกว่า
ด้านจุดเด่นของบริษัทจะเป็นความคล่องตัวในการบริหารงานเนื่องจากเป็นบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่มากนักจึงมีความคล่องตัวมากกว่าบริษัทที่ใหญ่และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสามารถสรุปงานทุกอย่างได้เร็วเพื่อให้สามารถดำเนินการเรื่องต่างๆ ได้ทันในเวลาที่เหมาะสม
สำหรับสิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเป็นในเรื่องการขอการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และใบอนุญาตต่างๆ อยากให้ภาครัฐมีกฎระเบียบในการพิจารณาชัดเจนกว่านี้และลดขั้นตอนในการขออนุญาตต่างๆ ให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถทำงานต่อได้อย่างเหมาะสมในเวลาที่กำหนด