May 06, 2025
01Top_ไดอิจิอินโช

AIT ลั่นเป้ารายได้ปีแพะแตะ 6.8 พันลบ. / Issue 026, March 2015

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive
 

AIT ลั่นเป้ารายได้ปีแพะแตะ 6.8 พันลบ.

AIT ตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้กว่า 6,800 ลบ.หรือโตเพิ่ม 10% จากปีที่ผ่านมา รับอานิสงส์ภาครัฐ-เอกชน พร้อมร่วมทุนกับพันธมิตรบุกประเทศเพื่อนบ้านรับ AEC

คุณศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด(มหาชน) หรือ AIT ดำเนินธุรกิจให้บริการวางระบบคอมพิวเตอร์ และโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยมีลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการในปี 2558 จะมีการเติบโต 10% จากปี 2557 ที่ผ่านมา หรือมีรายได้รวมกว่า 6,800 ล้านบาท

“การที่ตั้งเป้าเติบโต 10% เราพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น Backlog ที่มีอยู่ โครงการที่กำลัง จะดำเนินการในปีนี้ สภาวะเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ และเสถียรภาพทางการเมือง เป็นต้น หลังจากที่ รัฐบาลประกาศแนวทางการขับเคลื่อนประเทศโดยใช้นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล สนับสนุนให้เกิด Digital Economy และขับเคลื่อนของภาคการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนระบบสารสนเทศ และการสื่อสาร ทั้งนี้เชื่อว่าส่งผลดีต่อบริษัทที่จะมีโอกาสเข้าร่วมประมูลงานใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น” คุณศิริพงษ์กล่าว

บริษัทยังมองถึงโอกาสขยายธุรกิจกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC โดยเปิดสำนักงาน ย่อยในประเทศกัมพูชาเมื่อสองปีที่ผ่านมา จับมือกับพันธมิตร บริษัท First Cambodia ซึ่งเป็น SI ชั้นแนว หน้าของประเทศกัมพูชา เพื่อทำตลาดในภาครัฐและเอกชน ที่กำลังพัฒนาและนำระบบ ICT เข้ามาใช้งาน ในองค์กรมากขึ้นตามกระแส AEC

ส่วนการลงทุนในประเทศเมียนมาร์ บริษัทได้มีการร่วมลงทุนกับทาง บริษัท ล็อกซเล่ย์ ไวเลส จำกัด ภายใต้ชื่อ บริษัท ล็อกซเลย์ แอนด์ เอไอที โฮลดิ้ง จำกัด (LAH) ซึ่ง LAH ได้ร่วมทุนทำโครงการ เคเบิ้ลใต้น้ำในเมียนมาร์ กับบริษัท Kampana จากประเทศสิงคโปร์ และอีกประมาณ 3-4 เดือนของปีนี้ จะสามารถทราบถึงรายละเอียดและผลสำเร็จของโครงการดังกล่าว

ด้านการลงทุนในประเทศลาว บริษัทได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ บริษัท เอสแอลเอ เอเซีย จำกัด ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง บริษัท สามารถคอมมิวนิเคชั่นเซอร์วิส จำกัด และ บริษัท ล็อกซเลย์ เแอนด์ เอไอที โฮลดิ้ง จำกัด (LAH)  ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้บริการด้านไอซีทีโซลูชั่นใน ประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอโครงการระบบบริหารจัดการที่ดินในประเทศลาว มูลค่า การลงทุนไม่ต่ำกว่า 120 ล้านบาท

ทั้งนี้ ตนมองว่า แต่ละบริษัทต่างมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อีกทั้งมี ความแข็งแกร่งด้านเงินทุน ซึ่งหากมีการรวมตัวของทั้ง 3 บริษัท จะก่อให้เกิดความ แข็งแกร่งมาก ยิ่งขึ้นที่จะสามารถรองรับการแข่งขันด้านเทคโนโลยี สารสนเทศกับบริษัทใหญ่จาก ประเทศอื่นๆ ที่จะเข้ามาลงทุนในกลุ่มอาเซียนได้เป็นอย่างดี โดยการร่วมทุนในครั้งนี้ ทางบริษัทได้มีสัดส่วน ในการลงทุนประมาณ 30%

คุณศิริพงษ์กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการบุกตลาดเพื่อนบ้านว่า หลายประเทศเพื่อนบ้านของไทย พึ่งมีการเปิดประเทศ อาทิ เมียนมาร์, สปป.ลาว และกัมพูชา เป็นต้น โดยเล็งเห็นว่าในประเทศเพื่อนบ้าน ยังมีความต้องการในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศอยู่มาก ทั้งการใช้งานในส่วนของงานภาครัฐและ เอกชน รวมทั้งยังเป็นโอกาสดีที่จะสามารถขยายธุรกิจให้กว้างมากขึ้นด้วย

“การลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเราก็เจอกับคู่แข่งทางการค้าด้วย แต่เรามีพาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัท ท้องถิ่นที่แข็งแกร่งในประเทศนั้นๆ เรายังมองว่า เรามีความได้เปรียบด้านอื่นๆ อาทิ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและภาษาที่คล้ายคลึงกัน ย่อมเข้าใจความต้องการและการจัดการของประเทศนั้นๆ ได้ดีกว่าคู่แข่ง และที่สำคัญคือ เราทั้งสามบริษัทพันธมิตรต่างก็มีประสบการณ์ในการทำงานด้าน ICT ในประเทศไทย มากว่า 20 ปี เราได้เห็นความต้องการและรู้วิธีการจัดทำระบบของประเทศเพื่อนบ้านให้สำเร็จ ดังที่เห็น และได้ทำมาในประเทศเราเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นไทยยังได้เปรียบคู่แข่งด้าน Logistic ที่ไทยเป็น Hub ทางการค้าที่สำคัญอีกด้วย” คุณศิริพงษ์กล่าว

คุณศิริพงษ์กล่าวถึงการลงทุนในประเทศไทยว่า ในปีนี้บริษัทจะต้องมีการเติบโตให้เป็นไปตามเป้า ที่ได้ตั้งไว้ในเรื่องของ System Integration และการเสนอโครงการต่างๆ ในการประมูลงานของราชการ โดยบริษัทมุ่งมั่นที่จะขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันบริษัทยังต้องมีการเตรียมความพร้อม สำหรับลงทุนในโครงการต่างๆ ที่ซึ่งจะสร้างรายได้แบบต่อเนื่องหรือธุรกิจบริการที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต อีกด้วย

โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมทุน บริษัท เคิร์ซ จำกัด โดยคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 51% ของทุนจด ทะเบียน เนื่องจากมองเห็นถึงความสามารถด้านเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจของ เคิร์ซ ที่เป็นผู้ให้บริการ (Service Provider) ด้านต่างๆ เช่น บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (ISP) บริการด้านศูนย์รับฝากข้อมูล (Data Center) เป็นต้น ซึ่งจะสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้นี้ นอกเหนือจากรายได้จากการ ซ่อมบำรุงรักษาจากลูกค้าปัจจุบันประมาณ 10% ของรายได้ ซึ่งจะทำให้ฐานรายได้ของบริษัทมีความ แน่นอนและมั่นคงมากขึ้นด้วย

คุณศิริพงษ์กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศในปี 2558 ว่า ในปีนี้ทางภาครัฐมี นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล ซึ่งภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญในเรื่องของดิจิตอลและเทคโนโลยีที่จะนำเข้ามา ในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตขึ้น  โดยคาดว่านโยบายนี้จะมีส่วนที่จะส่งผลดีต่อ บริษัทและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้วย

“ปัจจุบันเราต้องรอดูโครงการต่างๆ ที่ทางภาครัฐจะกำหนดขึ้นมา ซึ่งหากมีโครงการต่างๆ เกิดขึ้น เราก็มีความพร้อมอยู่เสมอ ทั้งทางด้านโซลูชั่น ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านบุคลากร ด้านเทคนิคต่างๆ รวมทั้งด้าน เงินลงทุน จากประสบการณ์กว่า 22 ปี ที่มีผลงานการันตีมากมาย เรามั่นใจว่าจะสามารถตอบสนองความ ต้องการของลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายเศรษฐกิจดิจิตัลได้เป็นอย่างดี” คุณศิริพงษ์กล่าว

คุณศิริพงษ์กล่าวต่อว่า ล่าสุดบริษัทยังได้เซ็นสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ 3 บริษัทชั้น นำของโลก ได้แก่ NetApp Inc. เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ Network Data Storage ที่จัดเก็บข้อมูลจำนวนมากๆ บนระบบ Cloud และ VMware, Inc. ผู้นำอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และบริการ Cloud & Virtualization และ F5 Networks, Inc. ผู้นำระดับโลกในเทคโนโลยี  Application Delivery Networking (ADN)

โดยการร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ ทั้ง 3 บริษัท ประกอบกับการเป็นตัวแทนของ CISCO System ผู้นำของโลกในระบบ Networking มากว่า 20 ปี ทำให้ AIT สามารถให้บริการในด้านระบบ Cloud และ Virtualization อย่างสมบรูณ์แบบและครบวงจร ซึ่งในอนาคตจะมีแนวทางในการบริหารจัดการระบบ คอมพิวเตอร์ใน รูปแบบใหม่ที่ลดต้นทุนในการบริหารจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะไม่ซ้ำซ้อนกัน ยกตัวอย่างเช่น บริษัทหรือธนาคารที่มีสาขาย่อยหลายสาขา ซึ่งทุกสาขาย่อยจะมีระบบการบริหารจัดการเป็นของตัวเอง และเมื่อนำระบบนี้มาใช้ ในทุกสาขาย่อยจะมีระบบบริหารจัดการเหมือนกันทุกสาขา โดยจะช่วยให้การบริหารจัดการมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายตรงกับทั้ง 3 บริษัท ประกอบกับที่ AIT เป็นตัวแทน จำหน่าย CISCO Systems มากว่า 20 ปี ทำให้ AIT สามารถนำเสนอสินค้าและบริการระบบ Cloud & Virtualization ในรูปแบบของ Solution Technology ให้แก่ลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนขนาดใหญ่ และ Service Provider ได้อย่างครบวงจร และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าภายใต้ยุค เศรษฐกิจดิจิตอลได้ดียิ่งขึ้น

คุณศิริพงษ์กล่าวถึงหลักการบริหารงานแบบง่ายๆ ใช้หลักของ Common Sense พิจารณาถึงเหตุ ที่เกิดและผลที่ตาม แล้วใช้เหตุผลในการตัดสินใจ

“นอกจากนี้ สิ่งสำคัญในการทำงานคือ เครดิต หรือความไว้วางใจ เชื่อใจซึ่งกันและกัน โดยเราจะ ต้องมีเครดิตกับลูกน้อง ลูกค้า คู่ค้า และสังคม ตราบใดที่เราไม่มีเครดิตก็คงจะทำธุรกิจให้ประสบ ความสำเร็จได้ยาก จึงเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารงานและสร้างธุรกิจให้เติบโตด้วยความแข็งแรง” คุณศิริพงษ์กล่าว

Page Visitor

015661505
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
5202
10617
26827
64324
568659
15661505
Your IP: 3.16.31.119
2025-05-06 10:59
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.