May 06, 2025
01Top_ไดอิจิอินโช

“ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ป” เนรมิต รร.ฮาลาล 4 ดาวแห่งแรกในไทย / Issue 026, March 2015

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive
 

“ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ป” เนรมิต รร.ฮาลาล 4 ดาวแห่งแรกในไทย

ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ปทุ่มงบกว่า 650 ลบ. ผุด “อัล-มีรอซ” โรงแรมฮาลาลระดับ 4 ดาวแห่งแรกในไทย บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ติดถนนรามคำแหง คืบหน้าแล้วกว่า 80% เตรียม Grand Opening ในช่วงต้นปี 59 รองรับนักท่องเที่ยวมุสลิมและการเปิด AEC

คุณสัญญา แสงบุญ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอัล-มีรอซ เปิดเผยว่า บริษัท ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหาร ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 650 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดิน) ในการก่อสร้างโรงแรมดังกล่าว โดยตั้งอยู่บนถนนรามคำแหง ใกล้กับซอยรามคำแหง 5 เขตสวนหลวง และเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อเดือนธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา ขณะนี้มีความคืบหน้าแล้วกว่า 80% คาดจะแล้วเสร็จเดือนมิถุนายนปีนี้

“โรงแรมอัล-มีรอซ เป็นโรงแรมฮาลาลระดับ 4 ดาว ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินของตระกูลมูลทรัพย์ คาดว่าจะ  Soft Opening ในช่วงเดือนสิงหาคม 2558 และมีแผน Grand Opening ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2559 สำหรับการคืนทุนจะใช้เวลาประมาณ 5-7 ปี และหากการท่องเที่ยวได้รับความนิยมอาจจะใช้ระยะเวลาคืนทุนที่เร็วกว่าที่ได้ตั้งไว้” คุณสัญญากล่าว

โรงแรมอัล-มีรอซ เป็นโรงแรมสูง 16 ชั้นและชั้นใต้ดิน 1 ชั้น มีห้องพักรวมทั้งสิ้น 250 ห้อง ประกอบด้วย ห้องซูพีเรีย (Superior) จำนวน 182 ห้อง, ห้องดีลักซ์ (Deluxe) จำนวน 64 ห้อง และห้องสวีท (Sweet) จำนวน 4 ห้อง และมีลานจอดรถที่สามารถรองรับรถได้กว่า 700-800 คัน ภายในโรงแรมยังประกอบด้วยห้องประชุมใหญ่ 1 ห้อง ซึ่งรองรับคนได้มากถึง 1,200 คน ส่วนห้อง Seminar และ Conferenced อีก 4 ห้อง รองรับคนได้ประมาณ 100-200 คน

นอกจากนี้ยังมีในส่วนของห้องละหมาด ซึ่งมีการแยกห้องหญิง-ชายอย่างชัดเจน รวมทั้งห้องอาหาร ซึ่งจะประกอบไปด้วย ห้องอาหาร All Day Dining จำนวน 1 ห้อง ซึ่งจะอยู่ที่ชั้น G ในส่วนของบริเวณที่เป็นล็อบบี้, ห้องอาหาร Mediterranean จะอยู่ที่ชั้น 2 โดยจะเอาธีมของอาหาร Mediterranean มาผสมผสานเข้ากับอาหาร AEC เข้าด้วยกัน เป็นต้น รวมทั้งยังมีในส่วนของนันทนาการ ได้แก่ สปา, โยคะ, ฟิตเนส,  สระว่ายน้ำ และ Free Wi-Fi เป็นต้น เพื่อรองรับการให้บริการของลูกค้า

ด้านกลุ่มลูกค้าในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม คุณสัญญากล่าวว่า จะเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นมุสลิมที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 50% ส่วนลูกค้าห้องพักจะเจาะกลุ่มลูกค้าที่มาจากในกลุ่มประเทศอาเซียน หรือในกลุ่ม AEC โดยจะเริ่มจากอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, บรูไน, เมียนมาร์, สปป.ลาว, กัมพูชา, สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ที่นับถือศาสนาอิสลาม

คุณสัญญากล่าวต่อว่า โรงแรมอัล-มีรอซ จะถูกออกแบบในสไตล์โมเดิร์น ในขณะเดียวกันก็อิงตามรูปแบบการตกแต่งในรูปแบบ Middle Earth ซึ่งจะมีกลิ่นอายของความเป็นยุโรปและมุสลิมผสมผสานอยู่ด้วยกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวอาคารจะมีโดม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิมอยู่ด้วย ส่วนกรอบประตูหน้าต่างและการตกแต่งภายในโรงแรม จะมีลวดลายและลักษณะตามรูปแบบของอาหรับด้วย

ส่วนวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างโรงแรม คุณสัญญากล่าวว่า โรงแรมแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นเพื่อสร้างความสะดวกสบายและความเชื่อมั่นให้กับชาวมุสลิมที่เข้ามาท่องเที่ยวและอาศัยในกรุงเทพมหานคร โดยภายในโรงแรมจะไม่มีการบริการในส่วนของเครื่องดื่มของมึนเมาต่างๆ และมีบริการอาหารฮาลาล ที่ปรุงถูกต้องตามหลักศาสนาและเป็นไปตามที่หลักศาสนาอนุมัติอย่างถูกต้อง

นอกจากนี้ โรงแรมอัล-มีรอซ ยังสามารถกล่าวได้ว่า เป็นโรงแรมฮาลาลระดับ 4 ดาวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากโรงแรมฮาลาลอื่นๆ ในประเทศยังไม่มีให้บริการในระดับ 4 ดาว และจำนวนห้องพักยังไม่สูงเท่ากับของโรงแรมอัล-มีรอซ รวมทั้งโรงแรมอัล-มีรอซยังมีมาตรฐานในการให้บริการระดับนานาชาติ (International Standard) ทั้งในส่วนของอุปกรณ์ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ เป็นต้น

“หลายโรงแรมในประเทศไทย พยายามจะทำในเรื่องฮาลาล แต่ก็ยังไม่มีใครที่จะทำสำเร็จ เนื่องจากว่าไม่ได้เป็นมุสลิมโดยกำเนิด แต่ที่นี่เจ้าของและพี่น้องของเจ้าของเป็นมุสลิมมาตั้งแต่เกิด และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องของฮาลาลเป็นอย่างดี จึงทำให้มีความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือมากกว่า ซึ่งสามารถการันตีได้ว่าเราทำอย่างถูกหลักศาสนาอย่างแน่นอน” คุณสัญญากล่าว

ด้านการให้การบริการ ทางโรงแรมมีความพร้อมในการให้บริการที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น หากกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ชาย ทางโรงแรมก็จะให้พนักงานที่เป็นผู้ชายเป็นผู้ให้บริการและดูแลลูกค้า หากเป็นกลุ่มผู้หญิงมากกว่าจะให้พนักงานที่เป็นผู้หญิงเข้าไปดูแลเช่นกัน นอกจากนี้ชุดของพนักงานมีการออกแบบที่มิดชิด แขนเสื้อและกระโปรงไม่สั้น เพื่อให้คนที่มาใช้บริการและคนที่ให้บริการเกิดความสบายใจทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังมีการเตรียมความพร้อมด้านภาษา นอกจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้ว ทางโรงแรมยังมีการเทรนนิ่งในเรื่องของภาษามลายู ภาษาอาหรับ และภาษาจีน เป็นต้น

คุณสัญญากล่าวถึงแนวโน้มการเติบโตภายหลังการเปิดให้บริการว่า จะสามารถเติบโตได้สูงถึง 50-55%  และจะมีอัตราการเติบโตในปีหน้าประมาณ 10% และ 15% ในปีต่อไป โดยจะได้รับปัจจัยบวกจากการที่โรงแรมฮาลาลกำลังเป็นที่ได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก  ซึ่งในปัจจุบันมีโรงแรมฮาลาลให้บริการบ้างแล้วในหลายประเทศ อาทิ ไต้หวัน, ญี่ปุ่น เป็นต้น

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในเรื่องของสถานการณ์ทางการเมือง สภาวะเศรษฐกิจ อาจจะมีผลกระทบอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามคนมุสลิมนิยมมาท่องเที่ยวในประเทศไทยอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้รับปัจจัยเสริมจากการที่ยกเลิกวีซ่าในกลุ่มประเทศอาเซียนและการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยที่ง่ายและสะดวก รวมทั้งประเทศไทยยังเป็น Hub ในการคมนาคมที่สำคัญอีกด้วย

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้รับความสนใจในการเข้ามาท่องเที่ยวของชาวมุสลิมจากประเทศต่างๆ อาทิ โซนตะวันออกกลาง, บรูไน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย เป็นต้น และชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย รวมทั้งทำเลที่ตั้งของโรงแรมยังตั้งอยู่ใกล้กับแอร์พอร์ตลิ้งค์จากสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสามารถเดินทางได้สะดวกสบาย ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่ดีที่จะส่งเสริมให้การเติบโตเป็นได้ตามที่ต้องการ

“ทางโรงแรมจะร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT) และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ซึ่งสมาชิกหลายท่านของ ATTA ได้ทำธุรกิจร่วมกับคนมุสลิมอยู่แล้ว จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเองก็มุ่งหวังที่จะให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นอยู่แล้ว หากเรามีในส่วนของโรงแรมช่วยสนับสนุนในตลาดมุสลิมเป็นอย่างดี และสามารถนำไปโฆษณาได้ว่า มาเมืองไทย พักโรงแรมฮาลาล อยู่สบายใจไม่ต้องห่วง” คุณสัญญากล่าว

คุณสัญญากล่าวต่อถึงหลักในการบริหารงานว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้จัดการทั่วไป ซึ่งจะดูแลทั้งหมด ทั้งในส่วนของบุคลากรและองค์กร โดยบุคลากรจะมีทั้งมุสลิม พุทธ และคริสต์ ทำงานร่วมกัน แต่ตนมีการสอนในเรื่องของวัฒนธรรม ธรรมเนียมต่างๆ ของทางอิสลามให้กับบุคลากรที่ไม่ใช่มุสลิมด้วย รวมทั้งยังต้องบริหารบุคลากรให้ทำงานร่วมกันนานๆ มีความตรงไปตรงมาในการทำงาน มีความซื่อสัตย์และมีความเป็นกันเอง

ส่วนวิสัยทัศน์ในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปลายปีนี้ คุณสัญญากล่าวว่า ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งการคมนาคมและการสื่อสารที่ดี อย่างไรก็ตามคนไทยหลายคนยังขาดในเรื่องการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษที่ไม่นิยมพูดกัน ซึ่งจะแตกต่างกับประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถพูดได้มากกว่า 2 ภาษา ด้านการแข่งขันในธุรกิจโรงแรมทั่วไป ตนมองว่ายังคงมีการแข่งขันที่สูง แต่ในด้านโรงแรมที่เป็นฮาลาลตนไม่มีความกังวลแต่อย่างใด

คุณสัญญากล่าวปิดท้ายว่า ธุรกิจของบริษัท ที เอส แฟมมิลี่ กรุ๊ป จำกัด เป็นธุรกิจที่เกิดจากการรวมตัวกันของพี่น้องตระกู “มูลทรัพย์” โดยประกอบด้วย ธุรกิจร้านอาหารฮาลาล ภายใต้ชื่อ “โซเฟีย” ธุรกิจอพาร์ตเม้นท์ เป็นต้น และด้วยวิสัยทัศน์ของคุณรอศักดิ์ มูลทรัพย์ ประธานกรรมการ ที่ได้เล็งเห็นว่ามีพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับถนนรามคำแหงและอยากที่จะสร้างโรงแรมที่เป็นฮาลาลขึ้นมา

“คุณรอศักดิ์ มูลทรัพย์ ประธานกรรมการ ท่านได้ปรึกษากับพี่น้องตระกูล “มูลทรัพย์” โดยเห็นว่าเรามีพื้นที่ที่ยังสามารถพัฒนาต่อได้อีก และยังมีพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวด้วย รวมทั้งในพื้นที่ถนนรามคำแหงมีชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่มากด้วยเช่นกัน จึงได้มีวิสัยทัศน์ในการที่จะสร้างโรงแรมที่เป็นฮาลาลขึ้นมา” คุณสัญญากล่าว

Page Visitor

015661526
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
5223
10617
26848
64345
568659
15661526
Your IP: 18.220.70.192
2025-05-06 11:02
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.