May 06, 2025
01Top_ไดอิจิอินโช
×

Warning

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: [ROOT]/images/Biz_Interview/2015/bfi_025/makino/photo

×

Notice

There was a problem rendering your image gallery. Please make sure that the folder you are using in the Simple Image Gallery plugin tags exists and contains valid image files. The plugin could not locate the folder:

Issue 025 Feb

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive

“มากิโน” ทุ่มงบกว่า 600 ลบ.ผุด สนง. ใหม่

มากิโน (ประเทศไทย) ทุ่มงบกว่า 600 ลบ. เนรมิตอาคารสำนักงานใหม่บนพื้นที่เกือบ 4 ไร่ ติดถนนพัฒนาการ วางเป้าปีแพะโตเพิ่มอีก 15% รับปัจจัยเสริมจากสภาวะเศรษฐกิจไทยและ เครื่องจักรใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง

คุณชุติ อูนากูล ประธานกรรมการ บริษัท มากิโน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จำหน่ายและให้บริการทางวิศวกรรม ติดตั้ง ซ่อมแซม เครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ และอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่บนพื้นที่ทั้งหมดเกือบ 4 ไร่ ติดถนนพัฒนาการ ระหว่างซอย 31-33

โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 600 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการจัดพิธีเปิดตัวอย่างเป็นทางการประมาณเดือนธันวาคม 2558 โดยภายในอาคารสำนักงานแห่งใหม่จะประกอบด้วย Reception & Seminar, Technical Center, Turnkey Facility, สำนักงาน และคลังสินค้า

สำหรับวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างสำนักงานใหม่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการลูกค้าที่มีเพิ่มสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องของออเดอร์สินค้าและการบริการต่างๆ รวมทั้งเพื่อใช้เป็นศูนย์ในการฝึกอบรมให้กับพนักงานของลูกค้าในการใช้งานเครื่องจักรที่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ในการขยายขอบเขตการศึกษาสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่สนใจศึกษาในเรื่องของเครื่องจักรแม่พิมพ์

“เราใช้งบลงทุนกว่า 600 ล้านบาท แบ่งออกเป็นค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานประมาณ 400 ล้านบาท และงบประมาณสำหรับการติดตั้งเครื่องจักรกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งภายในอาคารประกอบด้วย  1. Reception & Seminar โดยเป็นห้องประชุมสัมมนาของเราสามารถรองรับผู้เข้าอบรมได้สูงถึง 100 คน เพื่ออบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานเครื่องจักรให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อเครื่องจักร รวมทั้งใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักเรียน นักศึกษาที่สนใจในสายงานที่เกี่ยวข้องการอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ด้วย  2. Technical Center ซึ่งมีพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร จะเป็นศูนย์สำหรับการทดสอบเครื่องจักรแม่พิมพ์  3. Turnkey Facility มีพื้นที่ใช้งานกว่า 1,000 ตารางเมตรโดยอาคารสำนักงานแห่งใหม่จะมีสถานที่ให้กับลูกค้าได้มีจุดที่จะทดลองและลองทำผลิตภัณฑ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” คุณชุติกล่าว

คุณชุติกล่าวต่อถึงเป้าผลประกอบการในปีนี้ว่า บริษัทตั้งเป้าเติบโตเพิ่มอีกประมาณ 15%จากปีที่ผ่านมา หรือมีรายได้รวมกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน โดยได้พิจารณาจากการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มมีความเข้าในสถานการณ์ทางการเมืองของไทยและกลับมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น รวมทั้งยังได้รับปัจจัยเสริมจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นหรือมีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศที่ดี

นอกจากนี้ภายในปีนี้ บริษัทยังจะได้รับปัจจัยเสริมที่จะผลักดันให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จากการจำหน่ายเครื่องจักรแม่พิมพ์ใหม่อีก 5 ประเภท ประกอบด้วย เครื่อง iQ300 – Precision Micromachining Center, เครื่อง N2 – Horizontal Machining Center, เครื่อง D300 – 5-Axis Vertical Machining Center, เครื่อง MG30 – High-Precision CNC Tool & Cutter Grinder และเครื่อง Slim3n – New Generation Compact Vertical Machining Center

{gallery}Biz_Interview/2015/bfi_025/makino/photo{/gallery}

อนึ่ง บริษัท มากิโน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายและให้บริการทางด้านวิศวกรรม ติดตั้ง ซ่อมแซม เครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ และอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ยี่ห้อ มากิโน ซึ่งเป็นสุดยอดเครื่องจักร CNC Machining Center, CNC Wire Cut และ CNC EDH  โดยมีบริษัทแม่คือ บริษัท มากิโน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น และมีบริษัท มากิโน เอเชีย จำกัด ประเทศสิงคโปร์  เป็นบริษัทย่อยที่ดูแลกลุ่มบริษัท มากิโน ในประเทศโซนเอเชียทั้งหมด 

บริษัท มากิโน เอเชีย จำกัด ประเทศสิงคโปร์ เป็นผู้ให้บริการเครื่องจักรภายใต้แบรนด์ Makino แบบครบวงจร พร้อมทั้งวิจัยและพัฒนาการผลิตภายใต้กระบวนการวิศวกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ตามปรัชญาการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะของบุคลากรและการให้ความสำคัญของลูกค้าเหนือสิ่งอื่นใด
ปัจจุบัน บริษัท มากิโน เอเชีย จำกัด ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของเอเชีย มีบุคลากรกว่า 500 คน และมีสาขาครอบคลุมทั่วเอเชียหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ซึ่งรวมทุกประเทศแล้ว จะมีบุคลากรรวมกว่า 700 คน

บริษัท มากิโน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2480 เพื่อผลิตเครื่องจักรประเภท CNC ที่มีคุณภาพสูง และมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชั่นและการบริการให้ครอบคลุมมากที่สุด และในปี 2524 ได้มีการเปิดสาขาขึ้นที่สิงคโปร์เป็นครั้งแรก ต่อมาในปี 2547 จึงมีการเปิดศูนย์การบริการขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยบนถนนรามอินทรา เพื่อนำเสนอตัวอย่างงานเครื่องจักร CNC เครื่องจักร EDM และเครื่องจักร Wire Cut จาก บริษัท มากิโน เอเชีย จำกัด ประเทศสิงคโปร์ และบริษัท มากิโน คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น  

ด้านพันธกิจทางด้านงานบริการ บริษัทมุ่งเน้นการให้บริการที่รวดเร็วและทันท่วงที เพื่อลดเวลาการหยุดทำงานของเครื่องจักรให้ได้มากที่สุด  ในสิงคโปร์บริษัทสามารถประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ได้มากกว่า 80%  และหลังจากได้รับการแจ้งจากลูกค้า บริษัทสามารถแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ภายในเวลา 4 ชั่วโมง  เพื่อสามารถช่วยให้ลูกค้าผลิตสินค้าได้อย่างต่อเนื่องในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งบริษัทสามารถตอบโจทย์การบริการให้แก่ลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเป็นการตอกย้ำการทำงานที่มีประสิทธิภาพและสร้างความไว้วางใจจากลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ส่วนเป้าหมายหลักของบริษัท คือ “ลูกค้าของเรามาก่อนเสมอ และเป้าหมายต่อมา คือ ระบบการผลิตสินค้าของลูกค้าจะต้องสามารถผลิตได้ตามเป้าหมายเสมอ  นั่นคือหัวใจหลักของบริษัทที่ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจและมั่นใจในการบริการที่ได้มาตรฐานของเรา”

สำหรับการบริการของบริษัทประกอบด้วย การให้คำปรึกษาด้านเทคนิคผ่านทางโทรศัพท์, การให้บริการถึงสถานที่ของลูกค้า, การให้คำปรึกษาและแนะนำตำแหน่งที่เหมาะสมในการติดตั้งเครื่องจักร, มีแพ็คเก็จการให้บริการบำรุงรักษาตามมาตรฐานการซ่อมบำรุง, พร้อมให้บริการข้อมูลตลอด 7 วัน และตลอด 24 ชั่วโมง, การฝึกอบรมการบำรุงรักษาขั้นพื้นฐาน, การสอบเทียบเครื่องและการออกเอกสารรับรองเครื่องสำหรับหน่วยงานที่ต้องการ, การติดตามและรายงานผลสภาพการใช้งานของเครื่องจักร และมีศูนย์บริการเครื่องจักรและอะไหล่ที่พร้อมให้บริการลูกค้าได้ทันท่วงที

User Rating: 2 / 5

Star ActiveStar ActiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive

KTIS ปลื้มติดอันดับคำนวณ SET50

KTIS ยิ้มรับข่าวดีตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศหุ้น KTIS ติดอันดับคำนวณดัชนี SET50 มั่นใจได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้น โดยมีความพร้อมทั้งฐานเงินทุน ความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงพันธมิตรที่แข็งแกร่ง

นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ เคทิส (KTIS) ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณดัชนีราคาหุ้น 50 หลักทรัพย์หรือ SET50 และดัชนีราคาหุ้น 100 หลักทรัพย์หรือ SET100 ในรอบระหว่างวันที่ 1 มกราคมถึง 30 มิถุนายน 2558 ปรากฏว่า หุ้น KTIS เป็นหนึ่งในหุ้นชุดใหม่ที่ได้รับการคัดเลือกในเข้าไปคำนวณรวมในดัชนี SET50 ด้วย

สำหรับหลักเกณฑ์ในการเลือกหุ้นเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะพิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 ประการ  ประกอบด้วย  1. หุ้นดังกล่าวจะต้องเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมหรือมาร์เก็ตแคปสูง  2. หุ้นดังกล่าวจะต้องมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงอย่างสม่ำเสมอ และ 3.มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยผ่านเกณฑ์ที่กำหนด โดยจะมีการปรับเปลี่ยนหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณทุกๆ 6 เดือน

“นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่หุ้นของ KTIS ได้รับการคัดเลือกให้คำนวณในดัชนี SET50 โดยก่อนหน้านี้ ทาง MSCI ซึ่งเป็นสถาบันการลงทุนรายใหญ่ของโลก ก็เพิ่งทบทวนหุ้นทั่วโลกที่จะนำเข้าคำนวณดัชนี MSCI รอบใหม่ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 โดยในครั้งนั้น หุ้น KTIS ก็ได้รับคัดเลือกให้เข้าไปคำนวณดัชนี MSCI Global Small Cap. ซึ่งแน่นอนว่า การได้รับคัดเลือกให้เข้าไปคำนวณในดัชนีสำคัญๆ ถึง 2 ดัชนี ที่เป็นดัชนีที่นักลงทุนสถาบันใช้เป็นตัวอ้างอิงในการตัดสินใจลงทุน จะทำให้หุ้น KTIS อยู่ในสายตานักลงทุนสถาบันมากยิ่งขึ้น” นายณัฎฐปัญญ์กล่าว

ด้านจุดเด่นที่สำคัญของ KTIS คือ เป็นกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม พลังงานไฟฟ้า และพลังงานทดแทนที่ครบวงจร ตั้งแต่ไร่อ้อย เข้าสู่กระบวนการผลิตน้ำตาล ไฟฟ้า เอทานอล เยื่อกระดาษ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องอื่นๆ อีกทั้งยังมีความพร้อมทางด้านฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง บุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ

รวมถึงพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่มซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น และ นิสชิน ชูการ์ ดังนั้น ที่ผ่านมา กลุ่มเคทิสจึงได้มีแนวทางในการขยายงานในหลายด้าน ทั้งในสายธุรกิจน้ำตาล และสายธุรกิจชีวพลังงาน โดยในสายธุรกิจน้ำตาลนั้นได้มีโครงการผลิตน้ำเชื่อม (Liquid Sucrose) และโครงการผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ (Super Refined Sugar) ที่บริเวณโรงงานน้ำตาลของเคทิส จ.นครสวรรค์

ขณะที่สายธุรกิจชีวพลังงาน ก็ได้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวลอีก 2 โรง กำลังการผลิตโรงละ 50 เมกะวัตต์ รวมเป็น 100 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 แห่งจะอยู่ในพื้นที่ติดกับโรงงานน้ำตาลที่จังหวัดอุตรดิตถ์ และที่จังหวัดนครสวรรค์ และยังมีโครงการผลิตปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพดี ในราคาที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพอ้อยอีกด้วย

“ปัจจัยทั้งหมดจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับเคทิส และเมื่อผนวกกับความเชื่อมั่นที่ได้รับจากนักลงทุนสถาบัน ภายหลังจากหุ้น KTIS เข้าไปคำนวณในดัชนี MSCI และดัชนี SET50 ก็จะยิ่งตอกย้ำให้หุ้นของบริษัทมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน” นายณัฎฐปัญญ์กล่าว

อนึ่ง บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ KTIS ยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาดราว 10% มีกำลังการผลิตรวม 88,000 ตันอ้อย/วัน และมีจุดเด่นคือโรงงานน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยกำลังการผลิต 55,000 ตันอ้อย/วัน สำหรับผลประกอบการในปี 2558-2559 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโต 35%

User Rating: 3 / 5

Star ActiveStar ActiveStar ActiveStar InactiveStar Inactive

KMP อัดงบ 700 ลบ. ผุด รง.ใหม่รับปีแพะ

เค.เอ็ม.แพ็กเกจจิ้ง ทุ่มงบ 700 ลบ. เปิดตัวโรงงานใหม่และติดตั้งเครื่องจักรอีก 2 เฟส. หนุนเป็น “Green Energy Factory” และรองรับความต้องการของตลาดในอนาคต ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1,100 ลบ.

คุณพัสกร  กมลสุวรรณ Executive Director บริษัท เค.เอ็ม.แพ็กเกจจิ้ง จำกัด หรือ KMP ผู้ผลิตถ้วยกระดาษและบรรจุภัณฑ์กระดาษสำหรับอาหารอันดับ 1 ในประเทศไทย  เปิดเผยว่า บริษัทได้ก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอบางเสาธง โดยเริ่มดำเนินการเมื่อต้นปี 2557 ที่ผ่านมา บนพื้นที่ประมาณ 16 ไร่ ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 400 ล้านบาท ปัจจุบันได้เปิดตัวโรงงานอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา

สำหรับวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างดังกล่าว เนื่องจากพื้นที่ของโรงงานเดิมที่ตั้งอยู่ที่การเคหะบางพลีเต็มแล้วและไม่สามารถขยายได้อีก ดังนั้น ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีโปรเจคหาพื้นที่เพื่อก่อสร้างโรงงานบนพื้นที่ใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมแต่เป็นทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่เดิมเพื่อให้คนงานเดินทางมาทำงานได้อย่างสะดวกและไม่ต้องเปลี่ยนกลุ่มคนงานใหม่ โดยคนงานก็ยังมีรายได้เช่นเดิมทุกประการ

นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร “Green Energy Packaging” โดยบริษัทจะเน้นผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นมิตรต่อด้านพลังงานต่างๆ ทั้งหมด หรือเป็น “Green Energy Factory” โดยโรงงานแห่งนี้จะใช้ระบบประหยัดพลังงาน ซึ่งจะประกอบไปด้วย  1. การใช้หลอดไฟ LED ทั้งหมด  2. การติดตั้งระบบแอร์ชิลเลอร์ ซึ่งเป็นระบบปรับอากาศแบบระบบปิดที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ในระดับที่ต้องการและต้นทุนต่ำกว่าแอร์แบบปกติ  3. การติดตั้งระบบแอร์คอมเพรสเซอร์ ซึ่งเป็นระบบลมคุณภาพสูง สามารถวัดระดับความสูญเสียของลมควบคุมพลังงานลมต่างๆ ได้ค่อนข้างดี เนื่องจากบริษัทผลิตถ้วย หรือ Packaging หลากหลายชนิด จึงต้องใช้ลมในการผลิต  4. ลงทุนตัวอาคารทั้งหมดด้วยระบบ Isowall ซึ่งเป็นระบบกำแพงที่ค่อนข้างเหมาะกับการทำธุรกิจด้านอาหารเป็นอย่างมาก  5. มีระบบบำบัดน้ำเสียต่างๆ เนื่องจากในกระบวนการผลิตอาจเกิดน้ำเสีย ดังนั้นจึงเอาน้ำเสียทั้งหมดเข้าสู่ระบบและนำน้ำที่ได้บำบัดเสร็จแล้วไปปลูกต้นไม้และเลี้ยงปลาเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีน้ำเสียออกไปสู่อาคารและชุมชนโดยรอบ

คุณพัสกรกล่าวต่อถึงแผนการดำเนินงานปี 2558 ว่าบริษัทได้มีการลงทุนติดตั้งเครื่องจักรในโรงงงานใหม่เฟสแรกจำนวน 3 เครื่อง ซึ่งจะเป็นเกี่ยวกับระบบพิมพ์และระบบปั้ม โดยนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศเยอรมนีและประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใช้งบประมาณในการดำเนินการ 200 ล้านบาท ขณะนี้เสร็จเรียบร้อยและเดินเครื่องผลิตสินค้าแล้ว

ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการกำลังดำเนินการเฟส 2 อยู่ โดยเฟสนี้จะเน้นเป็น  Automatic Forming Machine โดยนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศเยอรมนีเป็นหลักเพราะเป็นเครื่องจักรที่มีคุณภาพสูงและมีอายุการใช้งานค่อนข้างยาวนาน โดยจะนำเข้าเครื่องจักรตัวแรกประมาณเดือนเมษายนและหลังจากนั้นจะทยอยติดตั้งไปเรื่อยๆ จนแล้วเสร็จ ใช้งบประมาณในการลงทุน 100 ล้านบาท

“เดิมกำลังการผลิตถ้วยของเรามีกำลังการผลิตอยู่ที่ 3,000,000 ใบ/วัน หลังจากที่ติดตั้งเครื่องจักรเฟสแรกแล้วเสร็จเราสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 7,000,000 ใบ/วัน ซึ่งการเพิ่มกำลังการผลิตในครั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่คาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นในปีนี้และในอนาคต” คุณพัสกรกล่าว

ด้านยอดขายในปี 2557 ที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท ส่วนในปี 2558 บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ประมาณ 1,100 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มอีกประมาณ 44% ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เพราะมีการวางแผนกลยุทธ์ไว้เป็นอย่างดีเพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัท

คุณพัสกรกล่าวต่อถึงด้านการตลาดว่า เดิมบริษัททำการตลาดในเชิงรับแต่ในปีนี้มีการปรับกลยุทธ์เป็นการตลาดเชิงรุกมากขึ้น โดยจะเปิดออฟฟิศสำนักงานเพิ่มอีก 1 แห่ง สำหรับเซลล์มาร์เก็ตติ้งจะตั้งอยู่ใกล้เมืองมากขึ้น โดยอยู่ติดกับถนนบางนา กม.ที่ 4-6 ข้างตึก Nation เพราะบริษัทจะมองถึงความสะดวกในการเดินทางของลูกค้าเป็นหลักสำหรับการมาติดต่อกับบริษัท

“ถ้าให้ลูกค้าเดินทางมาที่บริษัทจะเป็นการลำบาก จึงตั้งออฟฟิศใหม่สำหรับเซลล์มาร์เก็ตติ้งซึ่งเป็นสถานที่ที่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายสำหรับลูกค้า โดยจะตั้งทีมเซลล์ขึ้นมาใหม่อีกทีมสำหรับออฟฟิศใหม่และจะนำทีมเซลล์กลุ่มนี้เพื่อไปเจาะกลุ่มตลาดในเมือง จะสามารถเข้าไปใช้ออฟฟิศได้ประมาณไม่เกินเดือนมีนาคมนี้” คุณพัสกรกล่าว

ส่วนการเจาะกลุ่มลูกค้าของบริษัทสำหรับตลาดบนจะเป็นตลาดที่เป็นแบรนด์พรีเมี่ยม ส่วนตลาดระดับกลางจะเน้นความเป็น Partnerships เพื่อให้สามารถเติบโตไปด้วยกันได้ ส่วนตลาดระดับล่างเน้นผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่างๆ ทั่วไปเพื่อที่จะช่วยลดต้นทุนให้กับตลาดระดับล่าง ซึ่งจะพยายามขายผ่านตัวแทนที่บริษัทมี

สำหรับแผนการตลาดในปีนี้จะพยายามเจาะกลุ่มธุรกิจมากขึ้น โดยจะมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ อาทิ นิตยสาร, คลื่นวิทยุ เป็นต้น โดยตั้งงบประมาณในด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ 15-20 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มการตลาดของธุรกิจที่ดำเนินการอยู่มีการแข่งขันสูงขึ้นทุกปี ซึ่งตัวแปรที่มีผลต่อการตลาดในประเทศไทยคงหนีไม่พ้นเรื่องการเมือง

คุณพัสกรกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้รับการรับรองมาตรฐานต่างๆ มากมาย ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นและการันตีคุณภาพได้เป็นอย่างดีให้กับลูกค้า อาทิ FSSC 22000, GMP CODEX, HACCP CODEX, ISO 9001 : 2008, ISO 22000 : 2005,EMS เป็นต้น นอกจากนี้ยังจะดำเนินการให้ได้รับ ISO 14001: 2004 ภายในปีนี้ด้วย

“ปัจจุบันนี้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากเราทำเกี่ยวกับกระดาษจึงทำระบบ FSC CoC (Forest Stewardship Council) ซึ่งเป็นระบบการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน โดยเราต้องการให้ความมั่นใจกับลูกค้าว่าผลิตภัณฑ์ของเราที่ผลิตจากกระดาษ ถ้วย และกล่อง จะใช้วัตถุดิบที่มาจากป่าไม้ที่ใดและประเทศใด เพื่อให้มั่นใจว่าเราเน้นคอนเซ็ปต์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” คุณพัสกรกล่าว

 

คุณพัสกรกล่าวต่อถึงจุดเด่นของบริษัทว่า บริษัทจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐาน และมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งบริษัทใส่ใจลูกค้าและมีความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยที่ลูกค้าจะได้รับกลับไปในทุกๆ อย่าง และตอบโจทย์ได้ว่าเมื่อใช้สินค้าของบริษัทเท่ากับเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สำหรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ตนมองว่ามีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ด้านจุดอ่อนของ AEC คือจะทำให้มีคู่แข่งขันจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น แต่บริษัทมีจุดยืนที่ชัดเจนดังนั้นจึงนำเอาจุดแข็งดังที่กล่าวมาเบื้องต้นไปแข่งขันกับตลาดต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีความมั่นใจว่าปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำทางด้าน Food Container รายหนึ่งในเอเชีย ซึ่งขณะนี้ได้มีการดิวงานกับลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจากเดิมบริษัทมียอดขายต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 2-3% ปัจจุบันมียอดขายเพิ่มขึ้นมาเป็น 7% และในปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 10% สำหรับลูกค้าต่างประเทศของบริษัท อาทิ สิงคโปร์, จีน, ออสเตรเลีย เป็นต้น

ในส่วนของการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ AEC บริษัทได้มีการพัฒนาเรื่องภาษาให้กับพนักงาน โดยเริ่มจากการจัดคอร์ทฝึกภาษาอังกฤษให้กับพนักงานระดับออฟฟิศทั้งหมด รวมทั้งภาษาอื่นๆ เพื่อรองรับแรงงานต่างด้าวที่จะมาทำงานให้กับบริษัท นอกจากนี้ ยังพยายามสื่อสารให้พนักงานต่างด้าวทราบว่าบริษัทไม่ได้ดูแลแค่เพียงจ้างงานเพียงอย่างเดียวแต่ต้องการให้ทราบว่าบริษัททำอะไรบ้างและดูแลอย่างดีเช่นเดียวกับแรงงานไทย ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานกว่า 400 คน

ด้านกิจกรรม CSR ที่ทำเป็นประจำคือการปลูกป่าโดยพาพนักงานทั้งองค์กรไปปลูกป่าชายเลนร่วมกัน โดยในปีนี้หรืออาจจะเป็นปีหน้าจะขยายผล โดยจะเชิญชวนลูกค้าและซัพพลายเออร์ให้มาร่วมปลูกป่ากับบริษัท ทั้งนี้บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์จากป่าดังนั้นจึงต้องสร้างป่าไม้เพื่อมาทดแทน

คุณพัสกรกล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับหลักการบริหารว่า ตนบริหารงานอย่างเป็นกันเองกับพนักงานทุกคน โดยจะไม่เน้นสั่งงานเพียงอย่างเดียวแต่จะเน้นการเกื้อกูลช่วยเหลือพึ่งพากันมากกว่าและสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานเพื่อให้เกิดบรรยากาศในการทำงานที่ดีเมื่อพนักงานมีความสุขเขาก็จะทำงานให้บริษัทได้อย่างเต็มที่

อนึ่ง บริษัท เค.เอ็ม.แพ็กเกจจิ้ง จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษสำหรับใส่อาหารเป็นบริษัทแห่งแรกในประเทศไทยที่ผลิตถ้วยกระดาษเคลือบ PE ที่เหมาะสำหรับใส่อาหารและเครื่องดื่มจากกระแสนิยมของประเทศแถบตะวันตก และรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบที่ต้องการความสะดวกสบายจึงมีความต้องการบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่อาหารและเครื่องดื่มที่สะอาด สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน เข้ามามีส่วนช่วยให้ชีวิตของเรานั้นง่ายขึ้น

นับจากวันที่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบันนี้ KMP มีถ้วยกระดาษที่หลากหลายสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งถ้วยกระดาษสำหรับใส่เครื่องดื่มร้อนและเย็น, ถ้วยไอศกรีม, ถังกระดาษ รวมถึงกล่องและถาดสำหรับบรรจุอาหารขนาดต่างๆ จากความมุ่งมั่นที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ให้ได้คุณภาพ KMP ได้มีการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการผลิตและบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าและแนวโน้มของตลาดที่เติบโตขึ้นในแต่ละปี

ปัจจุบัน KMP ได้รับการรับรองมาตรฐานตามระบบ ISO 9001: 2000 ซึ่งเป็นสิ่งที่การันตีในเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์และการบริการที่เป็นเลิศ KMP จึงมุ่งขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดต่างประเทศในหลายๆ ประเทศแถบเอเชีย โดย KMP ยังคงมีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเน้นการให้บริการแบบครบวงจร (One Stop Service) ให้กับตลาดทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ KMP ได้รับรองมาตรฐานตามระบบ ISO 22000 ซึ่งจะเน้นเพิ่มเติมเกี่ยวกับ GMP และ HACCP ซึ่งเป็นระบบเกี่ยวกับการจัดการบริหารความปลอดภัยด้านอาหารเพื่อให้ลูกค้าได้ใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษที่สะอาดและปลอดภัยต่อสุขภาพในปัจจุบัน KMP เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่อาหารที่มีความหลากหลายเหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละประเภททั้งเครื่องดื่มร้อน-เย็นไอศกรีม, ป๊อปคอน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมายด้วยการผลิตที่ได้มาตรฐาน

สำหรับวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต KMP จะเลือกใช้วัตถุดิบทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตจะต้องผ่านมาตรฐานการรับรอง FDA ส่วนวัตถุดิบที่สำคัญที่ใช้ในการผลิต คือ กระดาษ จะนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเป็นกระดาษ VIRGIN PULP จากไม้ป่าปลูกเพื่ออุตสาหกรรมไม่ทำลายธรรมชาติ ทั้งนี้บริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษรักษ์โลก ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยต่อผู้ใช้งานเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดด้วยคุณภาพที่คุมค่าและคุ้มราคาต่อไป

Page Visitor

015661492
Today
Yesterday
This Week
This Month
Last Month
All days
5189
10617
26814
64311
568659
15661492
Your IP: 3.22.27.22
2025-05-06 10:58
© 2024 Biz Focus Magazine All Rights Reserved.