ดร.สมศักดิ์ วาทินชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟ จำกัด

ดร.สมศักดิ์ วาทินชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีไซน์ ออลเทอร์เนทีฟ จำกัด กล่าวว่า ในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมทั้งในและต่างประเทศเทียบเท่ากับปี 2563 ที่ผ่านมา หรืออยู่ที่ 889 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในหลายๆ ด้าน

โดย ณ ไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทมียอดขาย 440 ล้านบาท หรือ 50% แล้ว พร้อมทั้งมั่นใจว่าตลอดทั้งปี ตัวเลขยอดขายรวมจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทมีการวางแผนและมีกลยุทธ์ธุรกิจรองรับไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเน้นการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีการเติบในรูปแบบ B2B (Business to Business) และ B2G (Business to Government) มากยิ่งขึ้น

“ผลประกอบการปี 2563 เรามียอดขายรวมทั้งในและต่างประเทศอยู่ที่ 889 ล้านบาท และในปีนี้ เป้าหมายของเราคือ พยายามทำให้ยอดขายรวมเป็นตัวเลขเดียวกับปี 2563 ซึ่งเราจะไม่มีการการปรับตัวเลขยอดขายให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด และในไตรมาส 2 เรามียอดขายครึ่งหนึ่งแล้ว มูลค่า 440 ล้านบาท ดังนั้น ตลอดทั้งปีตัวเลขยอดขายรวมน่าจะเป็นไปตามที่เราตั้งเป้าไว้” ดร.สมศักดิ์กล่าว

สำหรับดำเนินงานในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ หรือไตรมาส 4 บริษัทจะโฟกัสไปยังกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งมีความจำเป็นต้องดำเนินการปรับปรุง และขยายในหลายๆ ด้าน เช่น การเพิ่มห้องพักเพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ดังกล่าวเป็นต้น โดยปัจจุบันบริษัทได้รับงานตกแต่งภายในอาคารของโรงพยายาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี มูลค่างาน 55 ล้านบาท รวมถึงโครงการห้องผ่าตัดและเครื่องมือผ่าตัดมูลค่างาน 75.5 ล้านบาทอีกด้วย

“ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เราต้องมีการปรับตัว เราต้องรู้เมกะเทรนด์ของโลกและของประเทศไทยว่าเป็นไปในทิศทางใด เรามองว่าวิฤตสามารถสร้างโอกาสและทำให้ออกแบบธุรกิจได้ว่าเราจะเดินไปในทิศทางใด ซึ่งเรามีจุดกำเนิดจากเฟอร์นิเจอร์ในห้องปฏิบัติการ ห้องทดลอง ห้องวิจัย โอกาสของเราน่าจะอยู่ในกลุ่มโรงพยาบาลของทั้งภาครัฐและเอกชน ดังนั้นจึงเน้นกลุ่มลูกค้านี้เป็นหลักในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งจะทำให้เรามีรายได้ที่เพิ่มขึ้น” ดร.สมศักดิ์กล่าว

ขณะเดียวกัน การส่งออกที่ยังมีแนวโน้มไปได้ดี ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยจะเน้นลูกค้ากลุ่ม Food and Beverage เช่น คาราบาว, โอสถสภา และซีพีเอฟ เป็นต้น ซึ่งนอกจากบริษัทจะได้รับงานในเมืองไทยแล้ว ยังได้รับงานติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ในห้องปฏิบัติการ ห้องทดลอง ห้องวิจัยของลูกค้าดังกล่าวที่ไปก่อตั้งโรงงานในต่างประเทศอีกด้วย รวมถึง อีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโต คือ โรงงานผลิตยา และบริษัทได้ให้ความสำคัญเช่นกัน โดยได้มีการเข้าไปดำเนินการในหลายโปรเจคแล้ว

นอกจากนี้ บริษัทยังมีเป้าหมายในการหาลูกค้าในรูปแบบ B2G (Business to Government) โดยมองว่าวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ ภาครัฐจะต้องส่งเสริม โดยนำเม็ดเงินมาใช้ลงทุนในโครงการ Infrastructure ซึ่งในขณะนี้ บริษัทได้รับงานในกลุ่ม EEC หลายโครงการ ยกตัวอย่างเช่น สถาบันวิทยสิริเมธี เป็นต้น

รวมทั้ง บริษัทได้มีการเปิดตัว Section ธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home โดยนำเสนอชุดจออัจฉริยะ (Interactive Flat Panel) เพื่อนำมาติดตั้งกับระบบซูม มีจุดเด่นด้วยภาพคมชัด สามารถขีดเขียนได้ และระบบการบันทึกอัตโนมัติ สามารถส่งต่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ทันที เป็นต้น ขณะนี้ มีลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนได้ให้ความสนใจและซื้อไปใช้งานแล้ว โดยในปีแรก บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 3 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในอนาคต หากชุดจออัจฉริยะ (Interactive Flat Panel) ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดีมากยิ่งขึ้น และสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย บริษัทมีแผนที่จะสร้างโชว์รูมเพื่อจำหน่ายสินค้าดังกล่าว จากปัจจุบันที่ทำการตลาดแบบออฟไลน์ เช่น การส่งรายละเอียดสินค้าผ่านทางเมล์ หรือ นำสินค้าไปเสนอต่อลูกค้าโดยตรง เป็นต้น

สำหรับชุดจออัจฉริยะ (Interactive Flat Panel) นอกจากจะตอบโจทย์ในเรื่องของ Smart Office, Smart Meeting, Smart Lab, Smart Education, Smart Solution และอื่นๆ  ซึ่งจะสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ ที่สามารถทำงานได้ในทุกสถานที่ ภายใต้วิถีการใช้ชีวิตแบบ New Normal แล้ว ยังทำให้เฟอร์นิเจอร์ของบริษัทมีความเป็น Smart อีกด้วย โดยจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับแผนการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้ารู้จักสินค้าและเข้าถึงแบรนด์ของบริษัทมากยิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ในปัจจุบัน บริษัทยังได้เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายของชไนเดอร์ โดยมีโปรแกรมเปิด - ปิดไฟอัตโนมัติด้วยเสียง หรือการปิดผ้าม่าน ผ่านทาง Smart Phone เป็นต้น ซึ่งได้เริ่มดำเนินการในส่วนของสำนักงาน บ้านพักอาศัย และคอนโดมิเนียม พร้อมทั้งนำระบบดังกล่าวมาเชื่อมต่อกับ Smart Kitchen ของบริษัทในแบรนด์ VATIN เพื่อให้ชุดครัวมีความ Smart มากขึ้น

ขณะเดียวกัน ในปี 2564 บริษัทยังได้มีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนยอดขายของทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ จากปัจจุบันที่ภาคเอกชนครองสัดส่วน 70% และภาครัฐ 30% เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ทำให้การลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัว เพราะไม่มั่นใจทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ดังนั้น จึงปรับลดในส่วนของภาคเอกชนมาอยู่ที่ 30% ขณะที่ยอดขายจากภาครัฐปรับเพิ่มเป็น 70% เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ดร.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมทั้งในและต่างประเทศที่ 1,000 ล้านบาทแบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 95% และต่างประเทศ 5%  โดยมีแรงขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ด้วยการนำเสนอสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกเหนือจากการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องปฏิบัติการ ห้องทดลอง ห้องวิจัยแล้ว บริษัทยังจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์สำหรับสำนักงาน บ้านพักอาศัย และคอนโดมิเนียมอีกด้วย

โดยปัจจุบัน แบรนด์ VATIN ได้รับงานติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ในโครงการคอนโดมิเนียม “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” และ “พาร์ค ออริจิ้น จุฬา สามย่าน” ของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ขณะเดียวกัน บริษัท วัน เฟอร์นิช จำกัด บริษัทในเครือได้รับงานติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ในโครงการคอนโดมิเนียม “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท” ของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ด้วยเช่นกัน

“ขณะนี้ เรายังอยู่ระหว่างการดำเนินการประมูลงานติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ในสำนักงาน ที่พักอาศัย และคอนโดมิเนียมอีกหลายโครงการ คาดว่าจะได้รับข่าวดี เพราะเครื่องจักรของเรามีมาตฐานระดับห้องปฏิบัติการ ห้องทดลอง ห้องวิจัย ผนวกกับความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ของทั้งตนเองและทีมงานในเรื่องเฟอร์นิเจอร์ รวมถึง เฟอร์นิเจอร์คุณภาพมาตรฐานระดับเยอรมนีในราคาที่ไม่แพง อีกทั้ง ยังโดดเด่นในเรื่องนวัตกรรม ความสวยงามและความทนทาน โดยระบบ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาใช้ในการผลิตจะเป็นเกรด หรือมาตรฐานเดียวกันกับที่ใช้ผลิตเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องปฏิบัติการ ห้องทดลอง ห้องวิจัย” ดร.สมศักดิ์กล่าว

ด้านการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ในปี 2565 บริษัทมีแผนความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจในโครงการเปิดตัวโชว์รูมครัว ซึ่งจะเป็นการขยายตลาดในรูปแบบ B2C (Business to Customer) และจะเป็นการทำการตลาดครบวงจร นอกเหนือจากรูปแบบ B2B (Business to Business) และ B2G (Business to Government) ที่บริษัทได้ดำเนินการมาก่อนแล้วหน้านี้ ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะเห็นผลชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมในไตรมาสแรกของปี 2565

นอกจากนี้ ในปี 2565 บริษัทยังให้ความสำคัญกับการจำหน่ายสินค้าผ่านทุกช่องทางออนไลน์ ทั้งการไลฟ์สด เฟสบุ๊ก อินสตาแกรม หรือ ยูทูบ โดยจะเน้นพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว เนื่องจากตนมองว่าไวรัสโควิด-19 น่าจะอยู่กับเราอีกหลายปี และจะมีการพัฒนาเป็นโรคประจำถิ่นในอนาคต ประกอบพฤติกรรมของคนทำงานส่วนใหญ่ที่เริ่มคุ้นเคยกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) มากกว่าการทำงานที่สำนักงาน ซึ่งจะเริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในไตรมาสแรกของปี 2565

“การจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และการขยายฐานลูกค้าในรูปแบบ B2C (Business to Customer) นับเป็นปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะช่วยผลักดันให้เรามียอดขายเพิ่มประมาณ 10% หรือเพิ่มจาก 889 ล้านบาทในปี 2564 เป็น 1,000 ล้านบาท และในปี 2565 เราพร้อมรุกตลาดอย่างเต็มพิกัด ซึ่งในสภาวะวิกฤตเช่นนี้ เราต้องรุกทุกช่องทาง หยุดไม่ได้ ต้องเดินหน้าตลอด” ดร.สมศักดิ์กล่าว

สำหรับแบรนด์สินค้าในปัจจุบันของบริษัทที่นอกเหนือจาก PROLAB  แล้ว บริษัทยังได้มีการสร้างแบรนด์สินค้าเพิ่ม อีก 4 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์  VIN : เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน ซึ่งได้รับ 2 รางวัลใหญ่จาก German Design Award Winner 2020 และ IF Design Award 2020, แบรนด์  VATIN : เฟอร์นิเจอร์ครัวและที่พักอาศัย ซึ่งได้รับรางวัลระดับโลก German Design Award Winner 2020 จำนวน 4 รางวัล, แบรนด์ TETER : Smart Solution & Digital Product โดยจะทำให้ทุกแบรนด์ของบริษัทมีความเป็น Smart รวมถึง แบรนด์น้องใหม่และเป็นบริษัทในเครือ บริษัท วัน เฟอร์นิช จำกัด ดำเนินธุรกิจติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ในโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งมีผลประกอบการอยู่ในระดับที่ดี

www.design-alternative.com