กรมหม่อนไหมปักธงปี 68
สร้างมูลค่าสินค้าหม่อนไหมกว่า 10,000 ลบ.
กรมหม่อนไหมตั้งเป้าปี 68 สร้างมูลค่าสินค้าหม่อนไหมทะยานกว่า 10,000 ลบ.รับอานิสงส์ขาขึ้นการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม บวกเร่งเพิ่มจำนวนเกษตรกรรายใหม่-พัฒนาศักยภาพเกษตรกรรายเดิม พร้อมเดินหน้าแผนการดำเนินงาน มุ่งสานต่อนโยบายภาครัฐ โดยยึดตลาดนำเป็นหลัก หนุนเกษตรกรมีตลาดรองรับ 100% เตรียมจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย” ครั้งที่ 20 ในช่วง ก.ค. - ส.ค. ชูผ้าไหม Soft Power ของประเทศ ภูมิปัญญาที่สร้างมูลค่าจากเส้นไหม-องค์ความรู้ในแต่ละท้องถิ่น
คุณนวนิตย์ พลเคน อธิบดีกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ภารกิจของกรมหม่อนไหม คือ การส่งเสริมการผลิตให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยในส่วนต้นน้ำจะดูแลเกษตรกร ซึ่งเป็นทั้งปลูกหม่อนและเลี้ยงไหม ขณะที่ กลางน้ำเน้นการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เส้นไหม และผ้าไหม เป็นต้น ส่วนปลายน้ำจะมีการแสวงหาช่องทางการตลาด และสร้างความยั่งยืนให้แก่เกษตรกร โดยกรมหม่อนไหมมีการจัดแสดงสินค้า 5 ภาค ใน 5 เขตที่กรมหม่อนไหมตั้งอยู่ รวมถึง การจัดงานใหญ่ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เป็นประจำทุกปี
ปัจจุบันกรมหม่อนไหมขับเคลื่อนการทำงาน ภายใต้วิสัยทัศน์ “สืบสานต่อยอด ภูมิปัญญา เพิ่มมูลค่าสินค้าหม่อนไหม สร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน” โดยมี 6 พันธกิจที่สำคัญ ประกอบด้วย 1.อนุรักษ์พันธุกรรมหม่อนไหม สืบสานภูมิปัญญา และต่อยอดการใช้ในประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ 2.วิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้าหม่อนไหม
3.ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรและผู้ประกอบการให้มีความมั่นคงในอาชีพหม่อนไหม 4.พัฒนาและส่งเสริมการผลิตหม่อนไหมตลอดทั้งห่วงโซ่ให้มีประสิทธิภาพ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
และได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล 5.มุ่งประสานความร่วมมือในการส่งเสริมและแสวงหาช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ
6.ปรับการบริหารจัดการองค์กร สู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงและตอบสนองการให้บริการประชาชน ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล ได้แก่ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” “เพิ่มรายได้เกษตรกรใน 4 ปี” และ “การเพิ่มจำนวนเกษตรกร/ปริมาณการผลิต”
คุณนวนิตย์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา กรมหม่อนไหมได้ส่งเสริมให้เกษตรกรสร้างอาชีพและมีรายได้คิดเป็นมูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้รายได้ลดลง ซึ่งหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย มูลค่าของสินค้าหม่อนไหมมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง มีแนวโน้มว่าตัวเลขจะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2568 เนื่องจากกำลังการผลิตรังไหมและเส้นไหมของประเทศไทยยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ดังนั้นกรมหม่อนไหมจึงมีเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่ และส่งเสริมให้พี่น้องเกษตรกรหันมาปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
“ในปี 2568 คาดว่ามูลค่ารายได้จากสินค้าหม่อนไหมของพี่น้องเกษตรกรน่าจะเพิ่มสูงถึงกว่า 10,000 ล้านบาท เพราะเรามีเป้าหมายที่จะสร้างเกษตรกรรายใหม่ๆ ในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพิ่มขึ้น ขณะที่ รายเดิมที่มีการดำเนินการในรูปแบบหัตกรรม เราจะส่งเสริมให้มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในรูปแบบอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะเรามองว่าอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การมีตลาดรองรับผลผลิตของเรา” คุณนวนิตย์กล่าว
ด้านแผนการดำเนินงานในปี 2568 กรมหม่อนไหมยึดแนวทางตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้เป็นหลัก ซึ่งเป็นนโยบายของภาครัฐ ณ ปัจจุบันกรมหม่อนไหมได้จับมือกับภาคเอกชนในการทำสัญญาระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตและผู้รับซื้อ เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีตลาดรองรับที่แน่นอน ควบคู่กับการ เร่งสร้างเกษตรกรรายใหม่ เพื่อแก้ไขสถานการณ์การขาดแคลนเส้นไหมและรังไหมที่ไม่เพียงพอ
ต่อความต้องการของตลาด ยกตัวอย่างเช่นปัจจุบันกรมหม่อนไหมได้จับมือกับบริษัทภาคเอกชนที่เป็นผู้ผลิตเครื่องสำอาง และบริษัทเอกชนที่ต้องการซื้อรังไหมจากเกษตรกรและนำไปสาวเส้นเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่จะถึงนี้ กรมหม่อนไหมมีแผนที่จะจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย” ครั้งที่ 20 ที่กรุงเทพฯ โดยจะเชิญชวนผู้ประกอบการทั่วประเทศ ทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเส้นไหม ผ้าไหม รวมถึง ผลิตภัณฑ์จากหม่อนไหม เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อสินค้าหม่อนไหมทั้งประเทศได้ในที่เดียว อีกทั้ง ยังเป็นการเจรจาคู่ธุรกิจ และการจับคู่ธุรกิจที่มีความสนใจในธุรกิจนี้
โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา กรมหม่อนไหมได้จัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย” ครั้งที่ 19 ระหว่างวันที่ 1 - 4 สิงหาคม 2567 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งสามารถสร้างยอดขายรวมได้กว่า 30 ล้านบาท ส่วนในปี 2568 คาดว่ายอดขายรวมจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงการฟื้นตัวในขณะนี้
สำหรับผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ที่จะนำมาแสดงและจัดจำหน่ายในงานดังกล่าว โดยหลักๆ ยังคงเป็น ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานตรานกยูงพระราชทาน รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์จากหม่อนและไหม เช่น เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว สบู่ แชมพู น้ำหม่อน ไวน์ และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากหม่อนและไหม เป็นต้น รวมถึง ผลงานวิจัยต่างๆ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ จะถูกนำมาแสดงในงานนี้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ในปีที่ผ่านมา กรมหม่อนไหมได้มีการจัดแสดงนวัตกรรม การนำไหมมาพัฒนาเป็นวัสดุทางการแพทย์ โดยผลิตเป็น "วิศวกรรมโครงร่างเต้านม" เพื่อใช้ฟื้นฟูเนื้อเยื่อเต้านมที่เกิดจากการผ่าตัดมะเร็งเต้านม และเสริมโครงสร้างเนื้อเยื่อบริเวณที่เกิดการยุบตัวเนื่องจากการผ่าตัด เป็นต้น พร้อมทั้ง มีแผนว่าจะเพิ่มจำนวนวันจัดงานจาก 4 วันในปีก่อนหน้าเป็น 7 วันในปีนี้
ส่วนโครงการสำคัญอื่นๆ ในปีนี้ที่อยากประชาสัมพันธ์ กรมหม่อนไหมอยากจะเชิญชวนเกษตรกรที่ประกอบอาชีพทางด้านการเกษตรและยังมองหาอาชีพเสริม ลองพิจารณาอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม หรือ เยาวชนรุ่นใหม่ที่สนใจ ให้มาเป็น Young Smart Farmer เพราะในปัจจุบันผลิตภัณฑ์จากหม่อนไหมถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดยังมีความต้องการอีกมาก
โดยกรมหม่อนไหมพร้อมที่จะสนับสนุนในเรื่องของวิชาการ เทคโนโลยี และปัจจัยการผลิตที่กรมหม่อนไหมมีอยู่ นอกจากนี้ ที่สำคัญที่สุด คือ กรมหม่อนไหมจะให้คำแนะนำและเป็นตัวกลางในการประสานระหว่างภาคเอกชนกับเกษตรกรที่ประกอบอาชีพเลี้ยงไหม เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมได้ประกอบอาชีพที่มีอนาคต และมีรายได้มั่นคงเพิ่มขึ้น
“เราขอเน้นย้ำว่า ณ วันนี้ ตลาดยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์จากการเลี้ยงไหมอีกมาก สำหรับผลิตภัณฑ์หลักที่มาจากเส้นไหม คือ ผ้าไหมไทย ซึ่งแต่ละท้องถิ่นจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างไม่เหมือนกัน จะมีความโดดเด่น และมีวิธีการเพิ่มมูลค่าได้หลากหลายรูปแบบ ขณะเดียวกัน ปัจจุบันผ้าไหมไทย
ถือได้ว่าเป็น Soft Power ของประเทศไทยด้วยเช่นกัน ถือเป็นภูมิปัญญาของพวกเราที่สร้างมูลค่าจากเส้นไหม และเป็นองค์ความรู้ของพี่น้องในแต่ละท้องถิ่น เช่น ทางภาคเหนือก็จะเป็นผ้าไหมยกดอกลำพูน ผ้าจกเมืองลอง ทางภาคอีสาน จะเป็นผ้าลายมัดหมี่ ผ้าแพรวา ผ้าโฮล ส่วนภาคกลาง ก็จะเป็นผ้าจกไทยวน ผ้าจกลาวครั่ง ผ้าขาวม้า และทางภาคใต้ ก็จะเป็น ผ้าจวนตานี ผ้ายกเมืองนคร ผ้าทอนาหมื่นศรี เป็นต้น” คุณนวนิตย์กล่าว
คุณนวนิตย์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันคนที่มีอายุระหว่าง 60-80 ปีได้หันมาประกอบอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมากขึ้น ซึ่งทำให้คนเหล่านี้จะไม่เป็นภาระของสังคม รวมถึง เป็นกุศโลบายในการดูแลผู้สูงอายุ อีกทั้ง ยังไม่เป็นภาระของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งในการดูแลผู้สูงอายุอีกด้วย ดังนั้น ตนอยากให้กระทรวง หรือ หน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้พิการที่ประกอบอาชีพบางอย่างไม่ได้ มาบูรณาการและสนับสนุนกรมหม่อนไหม เพราะคนที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่สามารถสร้างรายได้ด้วยการปลูกหม่อนและเลี้ยงไหม หรือ สร้างผลิตภัณฑ์ผ้าที่มีมูลค่าจากเส้นไหม ทั้งหมดเหล่านี้ถือเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้สูงอายุ ซึ่งกรมหม่อนไหมเป็นอีกหนึ่งกรมที่ดูแลผู้สูงอายุเหล่านั้น
ในปัจจุบัน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นศูนย์กลางหลักของอุตสาหกรรมนี้ โดยมีเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมกระจายตัวอยู่แทบทุกจังหวัด ในขณะที่ภาคเหนือมีจำนวนเกษตรกรที่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็นอันดับสอง ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพมาก เนื่องจากสภาพอากาศมีความเหมาะสมในการเลี้ยงไหมด้วย นอกจากนี้ ยังมีการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทที่รับซื้อรังไหมเพื่อนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น เครื่องสำอางจากโปรตีนไหม ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ส่วนภาคกลางจะอยู่ในจังหวัดอุทัยธานี และสุพรรณบุรีเป็นส่วนใหญ่ สำหรับภาคใต้จะมีผู้ประกอบอาชีพในธุรกิจนี้ค่อนข้างน้อย เพราะสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ยังคงมีการศึกษาและพัฒนาแนวทางการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะอยู่ในพื้นที่จังหวัดชุมพร ตรัง นราธิวาส เป็นต้น
คุณนวนิตย์กล่าวในตอนท้ายว่า ขณะนี้ มีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนหม่อนไหมแล้วกว่า 60,000 รายทั่วประเทศ ทั้งนี้ กรมหม่อนไหมได้มีการเชิญชวนให้เกษตรกรที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรหม่อนไหมมาขึ้นทะเบียนดังกล่าว ซึ่งคาดว่า ณ สิ้นปี 2568 จะมีจำนวนเกษตรกรหม่อนไหมที่ขึ้นทะเบียนเพิ่มเป็นกว่า 80,000 รายทั่วประเทศ โดยเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรหม่อนไหมจะได้รับการสนับสนุนจากกรมหม่อนไหม ไม่ว่าจะเป็น องค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม ปัจจัยด้านการผลิต (ต้นหม่อน พันธุ์หม่อน พันธุ์ไหม) การวางแผนในการผลิต และการหาตลาดในการจำหน่าย เป็นต้น
พร้อมกันนี้ กรมหม่อนไหมได้มีการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการหม่อนไหมเข้ามาช่วยเหลือและพัฒนาเกษตรกรหม่อนไหมให้มีความเข้มแข็ง และยกระดับให้เกษตรกรเป็นผู้ประกอบการหม่อนไหมในอนาคต โดยเกษตรกรจะต้องผลิตเส้นไหมที่ได้มาตรฐาน เพื่อที่จะให้เส้นไหมของเกษตรกรสามารถส่งจำหน่ายให้แก่โรงงานได้โดยตรง
“เราจะส่งเสริมให้เกษตรกรหม่อนไหมรวมกลุ่มกัน โดยมีผู้นำกลุ่มที่สามารถพัฒนาเป็นผู้ประกอบการ เป็นผู้ที่รวบรวมเส้นไหมที่ได้มาตรฐาน และส่งให้แก่โรงงาน ซึ่งถือเป็นการสร้างให้กลุ่มเกษตรกรหม่อนไหมมีความแข็งแกร่ง สามารถดำเนินการในทุกขั้นตอนได้อย่างราบรื่นและยั่งยืนตลอดไป” คุณนวนิตย์กล่าว