
Biz Focus Magazine เป็นนิตยสารรายเดือนที่ร่วมส่งเสริมนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารระหว่างภาครัฐ - เอกชน และนักลงทุน
+(662) 399-1388
editor@bizfocusmagazine.com
บีโฮมทุ่มงบกว่าพันลบ. ผุดศูนย์ค้าส่งสำเพ็ง-ท่าดินแดง
บีโฮมเทงบ 1,150 ล้านบาท เนรมิตศูนย์ค้าส่งสำเพ็ง-ท่าดินแดง บนพื้นที่ทั้งหมด 11 ไร่ ติดท่าน้ำท่าดินแดง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา รองรับผู้ค้าที่ต้องการหนีความแออัดจากสำเพ็ง พาหุรัด คาดเปิดบริการหลังสงกรานต์ปีหน้า
คุณพงศ์ภพ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี โฮมคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างศูนย์ค้าส่ง ภายใต้ชื่อ “สำเพ็ง-ท่าดินแดง” ซึ่งเป็นตลาดติดแอร์บนพื้นที่ทั้งหมด 11 ไร่ โดยใช้งบประมาณ 1,150 ล้านบาท แบ่งเป็นราคาที่ดิน 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นงบในการก่อสร้างอาคารศูนย์การค้า 150 ล้านบาทเพื่อนำมาพัฒนาศูนย์ค้าส่งรองรับผู้ค้าที่ต้องการหนีความแออัดจากสำเพ็ง พาหุรัด โดยได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่เดือนกันยายน ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีความคืบหน้า 30% คาดจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม และพร้อมเปิดให้บริการหลังสงกรานต์ปี 2557
ศูนย์ค้าส่ง “สำเพ็ง-ท่าดินแดง” ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 11 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น พื้นที่ลานจอดรถ 3.5 ไร่ และพื้นที่ศูนย์ค้าส่ง “สำเพ็ง-ท่าดินแดง”ตลาดติดแอร์ อีก 7.5 ไร่ ซึ่งภายในประกอบด้วย อาคาร 1 ชั้น จำนวน500 ห้อง แบ่งเป็นห้องขนาด 3-7.5 ตารางเมตร โดยบริษัทได้มีการกำหนดราคาเช่าไว้ตั้งแต่ราคา 7,500 – 28,000 บาท/เดือน นอกจากนี้ศูนย์ค้าส่ง“สำเพ็ง-ท่าดินแดง” ยังเปิดให้บริการทั้งตลาดกลางวัน และตลาดกลางคืน
สำหรับจุดเด่นของศูนย์การค้าคือจะตั้งอยู่ห่างจากสำเพ็ง 550 เมตร, เยาวราช 690 เมตร, มีหน้ากว้างติดแม่น้ำเจ้าพระยา, ติดถนนท่าดินแดง, ติดกับท่าน้ำท่าดินแดง (ตรงข้ามกับท่าน้ำราชวงศ์) และเป็นทำเลที่ติดกับสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาราชวงศ์-ท่าดินแดง นอกจากนี้ยังมีลานจอดรถที่สามารถรองรับได้ถึง 350 คัน
ด้านกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะเป็นกลุ่มผู้ค้าดั้งเดิมทั้งคนไทยและคนจีนที่อาศัยอยู่ในย่านสำเพ็ง เสือป่าและเยาวราชในสัดส่วน 40 ; 60 ปัจจุบันมียอดจองแล้ว 100 ห้องจากจำนวนทั้งหมด 500 ห้องโดยเริ่มเปิดให้จองตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ในราวเดือนมกราคมปีหน้า
“ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาค้าขายอยู่ย่านเสือป่า และราชวงศ์อยู่แล้ว แต่ด้วยพื้นที่ที่จำกัด ไม่มีพื้นที่ในการเก็บสินค้า จึงขยายมาทำเลดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งในอนาคตเมื่อสะพานข้ามแม่น้ำราชวงศ์-ท่าดินแดง ก่อสร้างแล้วเสร็จ ก็จะสามารถเชื่อมต่อ และทำการค้าได้สะดวก”คุณพงศ์ภพ กล่าว
คุณพงศ์ภพกล่าวต่อถึงเป้าผลประกอบการในปี 2557 ว่าคาดว่ารายได้น่าจะได้อยู่ที่ประมาณ 60-70 ล้านบาท เนื่องจากทางโครงการมีโปรโมชั่น ลดค่าเช่าให้ 50% เป็นเวลา 6 เดือน 100 ห้องแรก อย่างไรก็ตามหากมีผู้เช่าพื้นที่เต็มทั้งหมด รายได้จะเพิ่มเป็น 130-150 ล้านบาท/ปี ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถคืนทุนภายในระยะเวลา 7-8 ปีและบริษัทยังมีนโยบายในการไม่ปรับค่าเช่าพื้นที่เป็นเวลา 3 ปี
“ เราจะบริหารงานและดำเนินการทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อให้ผู้ค้าส่งสินค้าและลูกค้าที่มาใช้บริการ ศูนย์การค้าสำเพ็ง-ท่าดินแดงให้สามารถค้าขายและซื้อสินค้าได้อย่างสะดวกสบายพร้อมทั้งสามารถตอบโจทย์ทางการค้าให้เพิ่มมากขึ้น และพร้อมปรับเปลี่ยนตามที่ลูกค้าต้องการได้อย่างเต็มที่ โดยจะใช้งบการตลาด 15-20 ล้านบาท/ปี เพื่อให้ครอบคลุมทุกช่องทาง เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ เป็นต้น ” คุณสมภพกล่าว
“อยุธยาพาร์ค” อัดงบกว่า 1,000 ลบ. รีแบรนด์ “อยุธยาซิตี้พาร์ค”
ศูนย์การค้าอยุธยาพาร์ค ทุ่มงบประมาณกว่า 1,000 ลบ. เตรียมปรับโฉมและรีแบรนด์ใหม่เป็น ศูนย์การค้าอยุธยาซิตี้พาร์ค คาดแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในราวกลางปี 2557 ชูเป็นทำเลทองเส้นทางผ่าน “ประตูสู่ภาคเหนือ” และยกระดับศักยภาพสู่การเป็น “ศูนย์รวมไลฟ์สไตล์และการพักผ่อนของภาคกลางตอนบน”
เอ็ม.เอส.กรุ๊ปเปิดแผนธุรกิจรับ 3 ทศวรรษ
เอ็ม.เอส.กรุ๊ป ประกาศรุกธุรกิจเต็มร้อยสานต่อความสำเร็จยาวนาน 30 ปี เตรียมจัดกิจกรรมการตลาดตอกย้ำบริษัทให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นภายใต้งบการตลาด 20 ล้านบาท มั่นใจยอดขาย 600 ลบ.ในอีก 2 ปีข้างหน้าถึงเป้าหมายแน่นอน
นายยศสรัล แต้มคงคา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม.เอส.กรุ๊ป จำกัด ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ หมากฝรั่งคิดคิด,หมากฝรั่งนกแก้ว , ช็อกโกแลต,สาหร่ายปรุงรส, น้ำผลไม้ เป็นต้น เปิดเผยว่าบริษัทจะครบรอบ 30 ปีหรือ 3 ทศวรรษในเดือนพฤษภาคม 2557 โดยเอ็ม.เอส .ย่อมาจากเม่งเซ้ง ซึ่งเป็นชื่อของคุณปู่และเป็นผู้ก่อตั้งโรงงานลูกกวาดเม่งเซ้งสำหรับผลิตสินค้าลูกกวาด ลูกอม หมากฝรั่ง อมยิ้ม
ทั้งนี้บริษัทมีแผนตรียมจัดแคมเปญการตลาดครั้งใหญ่ในโอกาสครบรอบ 30 ปี โดยใช้งบการตลาดประมาณ 20 ล้านบาท อีกทั้งยังเตรียมปรับแผนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ โดยเตรียมเพิ่มทีมงานด้านการตลาด การจัดกิจกรรมการตลาด อาทิ การจัดบูธ,การจัดอีเวนต์ เพื่อขายสินค้าในช่องทางโมเดิร์นเทรด นอกเหนือจากการสร้างความแข็งแกร่งกับช่องทางเทรดดิชันนัลเทรดที่บริษัทได้เปรียบคู่แข่ง เพราะเป็นช่องทางที่บริษัทจัดจำหน่ายมานาน และกระจายสินค้าได้ครอบคลุม
“เรามีแผนจะจัดกิจกรรมโรดโชว์ ในจังหวัดต่างๆ ตามร้านค้าหลักของเราซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยทำเลย เราขายอย่างเดียว เมื่อก่อนการตลาดไม่ต้องทำก็ได้ แต่ยุคนี้ต้องทำ เราอาจจะไม่ได้หว่านทั่วประเทศแต่จะเลือกเฉพาะจังหวัดที่มียอดขายหลัก เช่น อาจจะไปที่ภาคอีกสานภาคเดียวก่อน โดยจะไปในนามเครือของสินค้าของบริษัททั้งหมด อาจจะเอาหมากฝรั่งคิดคิดที่โรงงานยังผลิตอยู่เป็นสินค้าหลักและจะเอาสินค้าตัวอื่นพ่วงเข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มยอดขายและจะได้บาลานซ์กับค่าใช้จ่าย
ในช่วงแรกเราอาจจะต้องลงทุนมาเก็ตติ้งค่อนข้างสูง เนื่องด้วยเราเป็นบริษัทจัดจำหน่ายเราไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้า กำไรเราก็น้อยอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องลงทุนเพราะเป็นการสร้างภาพของบริษัท ไม่ได้สร้างภาพสินค้าให้กับแบรนด์อื่นๆ มันก็จะต่างวัตถุประสงค์กัน ซึ่งจะทำให้มีคนรู้จักเราและรู้ว่ามีบริษัทนี้อีกบริษัทหนึ่งที่เป็นดิสทริบิวเตอร์ ”คุณยศสรัลกล่าว
นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทยังมีแผนที่จะนำสินสินค้าชนิดอื่นๆ มาจำหน่ายอีกด้วย โดยจะเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ แปรงสีฟัน,ช็อกโกแลต แชมพู สบู่ อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น รวมทั้งจะเพิ่มกลุ่มสินค้าสุขภาพที่มีราคาสูง เข้ามาจัดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้นจากปีนี้ที่ผู้ผลิตสินค้า 2-3 ราย นำสินค้าใหม่เข้ามาให้บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายเพิ่ม ได้แก่ ผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำผลไม้ 25% แบรนด์ชิลล์ ผู้ผลิตสาหร่ายปรุงรสและกลุ่มขนม
สำหรับแนวโน้มธุรกิจของเอม.เอส.กรุ๊ป จะมีโอกาสกลับมาบูมเช่นเดียวกับ 20 ปีที่ผ่านมาอีกหรือไม่นั้น คุณยศสรัสกล่าวว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ยังตอบไม่ได้ จริงๆ แต่เมื่อทำอะไรแล้วก็ต้องมั่นใจ 100% ถ้าไม่ได้ยังไงค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าตั้งใจไว้แล้วและคิดว่าไม่ได้แน่ก็จะไม่มีแรงทำ ทั้งนี้บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายประมาณ 600 ล้านบาท ในอีก 2 ปีและมีความมั่นใจว่าเป็นได้ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทุกคนในองค์กรตั้งเป้าหมายร่วมกันจะไปให้ถึงอยู่แล้วและเป็นตัวเลขที่ไม่ได้มากมายเมื่อเปรียบเทียบกับที่ผู้ประกอบการายอื่นๆได้ออกมาประกาศกันก่อนหน้านี้
“เรามีความมั่นใจในตัวเลขยอดขาย 600 ล้านบาท เพราะในปัจจุบันเรามีสินค้าที่จำหน่ายทั้งของเราเองและเป็นตัวแทนสินค้ารายอื่นๆ ถ้ามีสินค้าใหม่มาอีก 2-3 แบรนด์ ถ้าเราจับโดนก็ถึงทันที อยู่ที่สินค้าอินเทรนมาได้ ยอดขายก็จะขึ้นมาทันที ยอดมันก็ไม่ได้เยอะ 600 นี่ถือว่าน้อยมาก คนอื่นเค้าประกาศเป็นแสนล้านหมื่นล้าน เราจะเริ่มจริงจังในปีนี้”คุณยศสรัลกล่าว
สินแพทย์ อัดงบ 1,000 ลบ. เนรมิต รพ.เด็ก
นพ.ศิริพงศ์ เหลืองวารินกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสินแพทย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส ในโอกาสเปิดให้บริการ “โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์” อย่างเป็นทางการ ทิศทางการดำเนินงาน รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้
นิตยสารบิส โฟกัส : รายละเอียดเกี่ยวกับโรงพยาบาลเด็กสินแพทย์
นพ.ศิริพงศ์ : โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่ต้นปี 2556 ที่ผ่านมา โดยเป็นอาคารสูง 7 ชั้น มีพื้นที่รวมที่จอดรถทั้งหมดประมาณ 14,000 ตารางเมตร ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 1,000 ล้านบาท จะเน้นการดีไซน์ที่เหมาะสมกับเด็กโดยใช้สีสันที่สดใสและมีเครื่องเล่นไว้ให้เด็กผ่อนคลายเมื่อเข้ามาใช้บริการ มีแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับเด็กประจำทั้งหมด 16 ท่าน
ตั้งแต่เปิดให้บริการโรงพยาบาลได้รับกระแสตอบรับดีมาก เนื่องจากเราสร้างชื่อเสียงมาอย่างยาวนานและได้รับความไว้วางใจจากคนไข้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ห้องพักเต็มตั้งแต่เดือนมิถุนายน - สิงหาคมที่ผ่านมา เราภูมิใจกับความสำเร็จดังกล่าวเป็นอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโรงพยาบาลสามารถเป็นที่พึ่งของคนในชุมชนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้เรายังไม่ได้มองแค่การดูแลรักษารักษาคนไข้เพียงอย่างเดียวแต่เราต้องการเป็นเพื่อนคู่คิดให้กับคนไข้ โดยโรงพยาบาลจะจัดทำกล่องใส่ยาเพื่อให้คนไข้สะดวกและง่ายสำหรับการเก็บรักษายาเนื่องจากเรามองว่าคนไข้ควรได้รับความสะดวกในเรื่องต่างๆ อย่างดีที่สุด อีกทั้งเรายังมีแพทย์พัฒนาการเด็กโดยตรงที่จะช่วยเสริมในด้านพัฒนาการเด็กเพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มศักยภาพเพื่อช่วยเหลือผู้ปกครองอีกด้วย
นิตยสารบิส โฟกัส : กลุ่มเป้าหมายของโรงพยาบาลเด็กสินแพทย์
นพ.ศิริพงศ์ : เด็กที่เราดูแลจะมีอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 14 ปี แต่ถ้าอายุเกิน 14 ปี เราจะส่งต่อไปพบหมอผู้ใหญ่ที่โรงพยาบาลสินแพทย์โดยตรง
นิตยสารบิส โฟกัส : โครงการต่อเนื่องในอนาคต วางแผนการดำเนินงานไว้อย่างไร
นพ.ศิริพงศ์ : ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างการก่อสร้างแผนกทันตกรรมเด็ก โดยจะตั้งอยู่ข้างๆ โรงพยาบาลเด็ก ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตกแต่งอาคาร ใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในราวเดือนพฤศจิกายน
ส่วนแผนการลงทุนในอนาคตจะสร้าง Medical Complex แบบครบวงจร ซึ่งจะตั้งอยู่ที่ลานจอดรถติดริมถนนรามอินทรา เป็นอาคารสูง 15 ชั้น ใช้งบประมาณในการลงทุนราว 2,000 ล้านบาท โดยจะใช้เวลาในการดำเนินการก่อสร้างประมาณ 4 ปี คาดว่าในปีหน้าจะได้รับใบอนุญาตในการก่อสร้าง และในปีถัดไปจะเริ่มตอกเสาเข็ม
นิตยสารบิส โฟกัส : วิสัยทัศน์เกี่ยวกับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC
นพ.ศิริพงศ์ : ตนมองว่าควรดูแลคนในประเทศก่อน ซึ่งโรงพยาบาลจะโฟกัสไปที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ( มีนบุรี หนองจอก รามอินทรา) เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเรา ดังนั้นทิศทางโรงพยาบาลจึงต้องชัดเจน ทั้งนี้เมื่อพูดถึง AEC ทุกคนจะต้องพูดถึง Medical Hub เป็น International Hospital ซึ่งต้องมีล่าม มีบุคลากรพิเศษ ต้องเทรนการพูดภาษาอังกฤษทั้งโรงพยาบาลซึ่งส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในที่สุดภาระจึงตกอยู่กับคนไข้ที่มารักษาซึ่งต้องจ่ายแพงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงพยาบาลไม่มีนโยบายที่จะทำ เราต้องการให้แพทย์ไทยมาดูแลคนไทยด้วยกันเอง แต่สิ่งที่เรามองคือการพัฒนาบุคลากรให้เก่ง สามารถดูสุขภาพคนในประเทศได้และพัฒนาคุณภาพมาตรฐานอย่างต่อเนื่องเทียบเท่าระดับสากล
นิตยสารบิส โฟกัส : แนวทางการพัฒนาบุคลากร
นพ.ศิริพงศ์ : เรามีศูนย์เทรนนิ่งของเราเองซึ่งตั้งอยู่ที่เลกาซี่กอล์ฟคลับ ซึ่งสามารถจุพนักงานได้ทั้งหมดประมาณ 50 คน ขณะนี้เราเริ่มการอบรมพยาบาลไอซียู โดยได้รับความร่วมมือจากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เข้าร่วมอบรมเพื่อให้ความรู้ในการเพิ่มศักยภาพบุคลากรในองค์กรของโรงพยาบาล ทั้งนี้ในแต่ละปีเราจะมีการอบรมทั้งภายในและภายนอกประมาณ 20 ครั้ง
นิตยสารบิส โฟกัส : ความสำเร็จของโรงพยาบาลสินแพทย์ตลอดระยะเวลาการดำเนินงาน
นพ.ศิริพงศ์ : โรงพยาบาลสินแพทย์เปิดให้บริการมากว่า 22 ปีแล้ว เราเริ่มต้นเป็นโรงพยาบาลระดับห้องแถว แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลสินแพทย์จริงๆ จะอยู่ที่ 16 ปี โดยในปี 2540 ได้สร้างอาคารใหม่ ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง สำหรับสิ่งที่โรงพยาบาลสินแพทย์ประสบความสำเร็จคือเราโฟกัสในความต้องการของคนไข้อย่างแท้จริง ในขณะที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่ในปี 2540 ที่ประสบปัญหาวิกฤติได้มีการลดค่าใช้จ่าย แต่เราไม่ได้คิดอย่างนี้ เราคิดว่าคนไข้ต้องการมาพบแพทย์ที่ดีและเก่ง ถ้าเราลดค่าใช้จ่าย เราต้องตัดรายรับของหมอหรือตัดจำนวนหมอ ซึ่งทำให้คุณภาพการรักษาพยาบาลไม่ดี
ในจังหวะที่ทุกโรงพยาบาลตัดค่าใช้จ่าย เราสวนกระแส เราลงทุนมากขึ้นเพื่อให้มีแพทย์ดีๆ มาดูแลคนไข้ ดังนั้นจึงทำให้มีปริมาณคนไข้มากขึ้นอีกเท่าตัว และในปี 2541-2543 เป็นปีที่เรามีการเติบโตประมาณ 30 ,40 ,50 % ทุกปี เพราะฉะนั้นการลงทุนในช่วงที่คนอื่นไม่ลงทุนนับเป็นโอกาสจึงทำโรงพยาบาลให้สินแพทย์มีวันนี้
ไทยเฮ้าส์ซิ่ง อัดงบ 300 ลบ. รีโนเวท “แกรนด์ไชน่า พลาซ่า”
ไทยเฮ้าส์ซิ่ง ทุ่ม 300 ล้านบาทปรับโฉม "แกรนด์ไชน่า พลาซ่า รองรับลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ พร้อมเปิดให้บริการกุมภาพันธ์ปีหน้า คาดมีเม็ดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท/ปี
คุณนันทนุช ตั้งอุทัยศักดิ์ ผู้อำนวยการแกรนด์ไชน่า เยาวราช บริษัท ไทยเฮ้าส์ซิ่ง ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัดเปิดเผยว่าปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการปรับปรุงแกรนด์ไชน่า พลาซ่า โดยใช้งบประมาณกว่า 300 ล้านบาท เนื่องจากครบสัญญาเช่าระยะยาว 20 ปีในปีที่ผ่านมา ดังนั้นบริษัทจึงมีแนวคิดนำพื้นที่ดังกล่าวมาปรับปรุงใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตของย่านเยาวราช สำเพ็ง รวมถึงรองรับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ 2557
" แกรนด์ไชน่า เยาวราช ประกอบด้วยโรงแรมแกรนด์ไชน่าปริ๊นเซส เยาวราช จำนวน 150 ห้องและพื้นที่เชิงพาณิชย์แกรนด์ไชน่า พลาซ่า โดยอาคารตั้งอยู่ในเยาวราชและมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ในต่างประเทศที่สนใจมาช็อปปิ้งในบ้านเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศเวียดนาม ลาว และมาเลเซีย ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในย่านนี้เป็นอย่างมาก เราจึงได้มีการพัฒนาโครงการนี้ขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของย่านเยาวราชที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง " คุณนันทนุชกล่าว
สำหรับแนวคิดในการพัฒนาโครงการนี้ เป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บนที่ดินที่ได้ชื่อว่าแพงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ตอบสนองกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีการพัฒนาจากรากฐานที่มีอยู่ในพื้นที่ให้สามารถตอบรับกับการพัฒนาไปข้างหน้าของสังคมที่มีการเคลื่อนไหวและไหลรวมเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่บั่นทอนอัตลักษณ์สำคัญของคนในเยาวราชและยังเป็นศูนย์รวมสินค้าขายส่ง (Whole Sale Trading Center) ภายใต้แนวคิด “ดินแดนแห่งของขวัญ” เพื่อสร้างเป็นศูนย์รวมสินค้าประเภทของขวัญ สินค้าไลฟ์สไตล์ งานดีไซน์ขยายตลาดส่งออกในอาเซียนตอบรับ AEC
คุณนันทนุชกล่าวต่อว่าการดำเนินการปรับปรุง "แกรนด์ไชน่า พลาซ่า" จำนวน 5 ชั้น ขนาดพื้นที่ทั้งหมด 10,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. โครงสร้างภายนอก มีการปรับรูปแบบความทันสมัยโดยคงลักษณะสถาปัตยกรรมอาคารในแบบ Sino – Portuguese ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ประวัติความเป็นมากว่าหนึ่งร้อยปีของความเจริญด้านการค้าขายในย่านเยาวราช สำเพ็ง
2. โครงสร้างภายในประกอบด้วยพื้นที่ 5 ชั้น ได้แก่ ชั้น G ธีมตกแต่งให้บรรยากาศแบบ Sino-Portuguese Revival สร้างจุดดึงดูดด้วยช้อปร้านกาแฟชั้นนำ ร้านอาหาร และสินค้าของขวัญงานดีไซน์และสินค้าไลฟ์สไตล์มีระดับ,ชั้น 2 ธีมตกแต่ง Shanghai Chic สร้างเสน่ห์แห่งอารยธรรมตะวันออกร่วมสมัย นำเสนอสินค้าในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ คอสตูมจิวเวลรี่ สินค้าแอคเซสเซอรีด้านไอทีและเครื่องมือสื่อสารทุกประเภท,
ชั้น 3 ธีมตกแต่ง Modern Chinese Loft เป็นพื้นที่ไฮไลท์ของห้างภายใต้แนวคิดคอนเซ็ปต์สโตร์สินค้ากลุ่มของขวัญและสินค้าไลฟ์สไตล์ (GIVE Concept Store) ให้เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักช้อปปิ้งจากทั่วเมืองไทยด้วยไอเดียทันสมัยโดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเป็นศูนย์ค้าส่งสินค้ามีดีไซน์จากนักออกแบบชั้นนำทั่วไทยเพื่อขยายตลาดการส่งออกไปยังตลาดประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน, ชั้น 4 ธีมตกแต่ง Chinatown Market Street นำเสนอสินค้าสไตล์สำเพ็ง สินค้าประดับชิ้นเล็กเพื่อตกแต่งบ้าน สินค้ากิ๊ฟช้อป และศูนย์บริการขนส่งและโลจิสติกส์ และชั้น 5 สวนอาหารและธนาคาร
“โครงการนี้เราจะเจาะกลุ่มพ่อค้าและแม่ค้าที่ซื้อของแล้วไปขายต่อ ส่วนอีกกลุ่มจะเป็นพ่อค้าและแม่ค้าในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เข้ามาพักในโรงแรมและไปซื้อของที่สำเพ็งเพื่อนำกลับไปขายต่อ และหลังจากการเปิด AEC คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้พื้นที่การขายในโครงการมียอดจองกว่า 65% คาดว่าในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้ายอดการจองพื้นที่จะเพิ่มเป็น 90% แบ่งเป็นกลุ่มค้าส่ง 60% และค้าปลีก 40% ทั้งกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าคนไทยและต่างชาติ เช่น เวียดนาม ลาว และมาเลเซีย เป็นต้น” คุณนันทนุชกล่าว
สำหรับจุดเด่นโครงการนี้คือจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกในหลายๆ อย่าง อาทิ ที่จอดรถรองรับได้ถึง 200 คัน, มีการรักษาความปลอดภัย, เป็นจุดรวมแสดงสินค้าในย่านเยาวราชที่ได้มีการคัดสรรมาอย่างดี มีการออกแบบที่สวยงาม และเป็นสถานที่ที่เดินทางมาได้สะดวก
คุณนันทนุชกล่าวต่อว่าแผนการตลาดในปีแรกวางงบประมาณไว้ที่ 10 ล้านบาท สำหรับการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ให้ทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติได้รู้จักและเข้าใช้บริการในย่านเยาวราชมากขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักนอกจากลูกค้าชาวไทยแล้วยังเป็นลูกค้าจากต่างชาติโดยเฉพาะในกลุ่มเออีซี ที่จะมีการจัดรูปแบบการบริการต่างๆ ไว้คอยรองรับ ทั้งส่วนของโรงแรม ธนาคาร ร้านค้า และบริการโลจิสติกส์ต่างๆ รวมถึงการประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าได้รู้จักโครงการมากขึ้น
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนผู้มาใช้บริการจากวันละ 6,000 คน/วัน เป็น 10,000 คน/วัน และมั่นใจว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดภายในโครงการกว่า 500 ล้านบาท/เดือน หรือไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท/ปี พร้อมทั้งคาดว่าโครงการนี้จะคุ้มทุนภายในระยะเวลา 8 ปี
ส่วนผลกระทบที่มีต่อธุรกิจของบริษัทและธุรกิจในย่านเยาวราชได้แก่สถานการณ์ต่างๆ ที่แปรผันตามเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่บริษัทยังพบว่ากลุ่มผู้ใช้บริการยังคงพร้อมเดินทางเข้ามาใช้บริการเช่นเดิม เนื่องจากเยาวราชเป็นย่านธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม
“เศรษฐกิจย่านเยาวราชค่อนข้างที่จะผันผวนตามเศรษฐกิจทั่วๆ ไป ถ้าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศไม่ดี การค้าขายในย่านนี้ก็จะลดลงไปด้วย ส่วนสิ่งที่อยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนคือการพัฒนาย่านเยาวราชให้เป็นศูนย์ Tourist Destination อย่างจริงจังและเป็นรูปเป็นร่างกว่าที่ผ่านมา รวมทั้งการสร้างย่านเยาวราชให้เป็น Trading Area ให้ชาวต่างชาติได้ทราบว่าหากต้องการสินค้าค้าส่ง สามารถเข้ามาหาสินค้าได้ที่นี่” คุณนันทนุชกล่าว
อนึ่งบริษัท ไทยเฮ้าส์ซิ่ง ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2517 ด้วยทุนจดทะเบียน 250 ล้านบาท มีอาคารและสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 215 ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่รู้จักอย่างมากในธุรกิจโรงแรมแกรนด์ไชน่าปรี๊นเซส เยาวราช และแกรนด์ไชน่า พลาซ่า
บิทไว้ส์ลั่นธุรกิจเดินหน้าด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ
บิทไว้ส์ครบรอบ 25 ปีแห่งคุณภาพ ชูนวัตกรรมใหม่ๆ หนุนองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน โชว์หลักการบริหารเน้นให้พนักงานทุกคนทำงานอย่างมีความสุข คาดรายได้รวมทั้งกรุ๊ปใกล้เคียงปีที่ผ่านมา
คุณสมยศ กีรติชีวนันท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท บิทไว้ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายแอร์เครื่องปรับอากาศชั้นนำภายใต้แบรนด์ "ทาซากิ" เปิดเผยว่าปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินธุรกิจครบรอบ 25 ปีเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทั้งนี้พื้นฐานในการดำเนินธุรกิจเริ่มต้นจากสายงานด้านวิศวกรรม โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีอัตราการเจริญเติบโตมาอย่างต่อเนื่องและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี
ส่วนหลักการบริหารงานที่ทำให้ประสบความสำเร็จมาจนถึงปัจจุบันคือการดูแลพนักงานให้เติบโตไปพร้อมๆ กับองค์กร ซึ่งปัจจุบันจะมีพนักงานหลายคนที่เป็นรุ่นลูกมาทำงานกับบริษัท โดยรุ่นพ่อทำงานกับบริษัทมาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม ทั้งนี้บริษัทจะมีนโยบายต่างๆ โดยเน้นการดูแลให้พนักงานทุกคนทำงานอย่างมีความสุขซึ่งจะส่งผลให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่อยู่อย่างครอบครัวใหญ่ซึ่งมีพนักงานประมาณ 500 คนจากทั้ง 3 โรงงานของบิทไว้ส์ กรุ๊ป
คุณสมยศกล่าวต่อว่าบริษัทได้นำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการทำ Research & Development โดยมุ่งเน้นในการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มคุณภาพ (Quality) และประสิทธิภาพ (Efficiency) เพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ให้สามารถแข่งขันในตลาดได้เป็นอย่างดี อีกทั้งอาจจะทำให้เป็นผู้นำตลาดใหม่ได้อีกด้วย
“เราเน้นนวัตกรรมโดยในการดำเนินธุรกิจ เรามีวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์กว่า 30 คน เรามีห้องทดสอบเครื่องปรับอากาศทั้งหมด 9 ห้อง ซึ่งนับว่ามากที่สุดในประเทศ โดยห้องทดสอบได้รับมาตรฐาน ISO 17025 จากสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งการันตีได้ว่าห้องทดสอบมีประสิทธิภาพได้มาตรฐานสากล อีกทั้งยังเป็นห้องทดสอบกลางของสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ซึ่งได้ส่งสินค้ามาตรวจสอบเพื่อรับรองเครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีมาตรฐาน แม่นยำและเชื่อถือได้ รวมไปถึงการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ” คุณสมยศกล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังนับเป็นองค์กรแรกที่เริ่มดำเนินการเข้าสู่มาตรฐานสากล ISO 9002 และมุ่งมั่นพัฒนามาตรฐานสากลต่างๆ อาทิ ISO 9001 : 2008, ISO 14001 : 2004, OHSAS 18001: 2007, ISO/IEC 17025: 2005 และ SASO เป็นต้น รวมไปถึงการได้รับมาตรฐานแรงงานไทยด้วย ซึ่งมาตรฐานต่างๆ ส่งผลดีในด้านการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการและซื้อสินค้าของบริษัท
คุณสมยศกล่าวต่อว่านอกจากบริษัทจะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศภายใต้แบรนด์ของบริษัทเองแล้ว บริษัทยังรับจ้างผลิตเครื่องปรับอากาศให้กับบริษัทชั้นนำอีกหลายบริษัททั้งในและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนการจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ 50:50 โดยในปีที่ผ่านมาบิทไว้ส์กรุ๊ปมีรายอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายจากเครื่องปรับอากาศ อุปกรณ์เครื่องปรับอากาศ อุปกรณ์โทรคมนาคม และอื่นๆ ส่วนปีนี้คาดว่ารายได้จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
“ ผลประกอบการจะเพิ่มหรือลดลงจะขึ้นอยู่กับไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ แต่เรามั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะเราได้มีการจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศในหลายๆ ภูมิภาค อาทิ ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาใต้ เอเชีย ออสเตรเลีย เป็นต้น ล่าสุดเรายังได้รับโปรเจคใหญ่ในการผลิตเครื่องปรับอากาศเพื่อที่จะนำไปติดตั้งในศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่ประเทศเวียดนามและกัมพูชา” คุณสมยศกล่าว
ซีบีซีเปิดแผนธุรกิจปี 2557
คุณอาคม จันทะคุณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส เกี่ยวกับทิศทางการดำเนินงานในปี 2557 เป้าหมายการเติบโตและผลประกอบการในปีนี้และปีหน้า รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ดังนี้
นิตยสารบิส โฟกัส : ทิศทางการดำเนินงานในปี 2557
คุณอาคม : ซีบีซี กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงาน และผลิตเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้ากำลังสูง เช่น Power Quality & Control Solution , Fe Battery เป็นต้น ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 50 คน คาดว่าในอนาคตจะเพิ่มบุคลากรเนื่องจากมีงานเข้ามาเพิ่มขึ้น รวมทั้งบริษัทมีการขยายแผนการลงทุนเพิ่มอีกด้วย
สำหรับในปีนี้และปีหน้ารัฐบาลจะมีนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชนสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ไม่เกิน 9 MW โดยในส่วนของโรงไฟฟ้าขนาดเล็กรัฐบาลจะสนับสนุนในเรื่อง BOI เพื่อจูงใจให้เอกชนเข้ามาสร้างโรงไฟฟ้าซึ่งคาดว่าจะเป็นลูกค้าของบริษัทในอนาคต ทั้งนี้การดำเนินการจัดทำโรงไฟฟ้าจำเป็นต้องมีระบบน้ำและต้องใช้น้ำสะอาดในขบวนการผลิตไฟฟ้าเช่นระบบ cooling และ Boiler ซึ่งบริษัทมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบบน้ำไว้รองรับอยู่แล้ว
ในส่วนของการขยายการลงทุน บริษัทจะลงทุนตามลูกค้า โดยในปีนี้และปีหน้าจะแบ่งแผนการดำเนินงานเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1. Power Quality ซึ่งรวมถึงเครื่องสำรองไฟด้วย โดยจะพยายามเปิดตลาดให้กว้างมากขึ้นนอกจากตลาดในต่างจังหวัดเราจะเข้าไปตีตลาดในกรุงเทพฯ เพิ่มเติมเพื่อให้สามารถขยายตลาดได้เพิ่มมากขึ้น
2. Green Energy ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด โดยในปีหน้ารัฐบาลมีโครงการจะจัดทำ 800 MW โซลาร์ชุมชน โดยจะเริ่มดำเนินการในต้นปี 2557 จะแบ่งเป็น 1 ชุมชน 1 MW ซึ่งจะให้แต่ละชุมชนรวมตัวกัน เช่น การรวมตัวของ 10 กองทุนหมู่บ้านโดยมีองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นแกนนำเพื่อสร้างเป็นชุมชน และ 1 ชุมชนจะมีโซลาร์เซลล์ 1 MW โดยผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งบริษัทมี Product ที่เป็นแผงโซลาร์เซลล์และมีผู้เชี่ยวชาญที่จะดำเนินการติดตั้งได้ในส่วนนี้รองรับอยู่แล้ว
ด้านการตลาดของ Green Energy บริษัทจะมีการประสานงานกับหน่วยงานราชการโดยจะใช้ทีมงานไปประสานงานกับทางเทศบาลเพื่อให้รวมกลุ่มเป็นชุมชน โดยตั้งเป้าไว้ประมาณ 10 แห่ง ซึ่งมูลค่าในแต่ละโครงการประมาณ 80 ล้านบาท สำหรับแผนเบื้องต้นจะใช้ทีมงานที่มีการติดต่อประสานงานที่ดีไว้กับทางเทศบาลดำเนินนำร่องโครงการ โดยฐานลูกค้าเดิมเราก็คือชุมชน อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล เป็นต้น ซึ่งบริษัทได้มีการทำตลาดเป็นระยะๆ ไว้อยู่แล้วในส่วนนี้
นอกจากนี้ในปี 2557 บริษัทจะโฟกัสไปที่โซลาร์เซลล์เป็นหลัก โดยจะดำเนินการตามแผนนโยบายของรัฐบาลเป็นหลักซึ่งคาดว่าจะเน้นไปที่ภาคกลางและภาคอีสาน โดยจะพิจารณาจากความเข้มของแสงเป็นหลัก ซึ่งภาคอีสานจะมีความเข้มแสงมากให้พลังงานมาก ส่วนการเลือกพื้นที่จะเน้นพื้นที่ที่ไม่เสี่ยงกับน้ำท่วมซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการพิจารณา
นิตยสารบิส โฟกัส : วางแผนการตลาดในระยะสั้น กลาง ยาวไว้อย่างไร
คุณอาคม : ระยะสั้น จะเน้นในส่วนของงานโปรเจค ระยะกลางจะเน้นในส่วนของ Power Quality อีกทั้งบริษัทยังมีแผนที่จะเน้น ระบบวิศวกรรม System Solution Engineering เข้ามาช่วยเสริมในงานขายเพิ่มมากขึ้น
สำหรับตลาดของ Green Energy บริษัทมองตลาดหลอดไฟ LED ซึ่งเป็นหลอดประหยัดไฟ โดยได้ดำเนินการขอ มอก. เรียบร้อยแล้วและวางแผนการตลาดไว้ 2 แบบ คือ 1.ขายผ่านดีลเลอร์ ในต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ๆ อาทิ หาดใหญ่ เชียงใหม่ อุบลราชธานี เป็นต้น โดยจะเริ่มทำตลาดประมาณช่วงเดือนพฤศจิกายน 2556 เนื่องจากการแข่งขันในกรุงเทพฯ ค่อนข้างรุนแรง แต่ในระยะยาวจะใช้เครือข่ายของดีลเลอร์ โดยจะนำแผ่นโซลาร์เซลล์ไปจำหน่ายในต่างจังหวัดอีกด้วย 2.ขายผ่านโมเดิร์นเทรดผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการขาย และมีแผนเล็งไว้ที่ประมาณ 10,000 สาขา โดยจะเริ่มทำแคตตาล็อกสินค้าในช่วงประมาณเดือนมกราคม 2557 ซึ่งจะเริ่มเจาะกลุ่มเป้าหมายที่กรุงเทพฯ เป็นอันดับแรก
นิตยสารบิส โฟกัส : วางเป้าหมายการเติบโตและผลประกอบการในปีนี้และปีหน้าไว้อย่างไร
คุณอาคม : สำหรับปี 2556 ตั้งเป้าผลประกอบการไว้ที่ 170 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปได้เนื่องจากบริษัทมีฐานการตลาดที่ใหญ่และมีงานรองรับไว้อยู่แล้ว และในปี 2557 คาดการณ์ว่าจะมีในส่วนของ Green Energy แผงโซลาร์เซลล์เข้ามาเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าไว้ที่ 300 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเติบโตมากยิ่งขึ้น สำหรับรายได้ของระบบน้ำในส่วนของโรงไฟฟ้าไบโอแมสคาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 300 ล้านบาท ส่วนงานด้าน Power Quality ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 130 ล้านบาท และคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายเนื่องจากบริษัทมีงานที่อยู่ในมืออยู่แล้ว รวมเป้าหมายทั้งหมดในปี 2557 ตั้งไว้ที่ 730 ล้านบาท
นิตยสารบิส โฟกัส : แนวโน้มการตลาดในปัจจุบัน
คุณอาคม : แนวโน้มการตลาดของบริษัทเริ่มตั้งแต่ Power Quality โดยในส่วนของเครื่องสำรองไฟมีคู่ค้าค่อนข้างจะแข็งแกร่งและมียอดขายอยู่ในเกณฑ์คงที่และเติบโตได้ดี สำหรับในปี 2557 จะมีการขยายตลาดในกรุงเทพฯ มากขึ้น เนื่องจากตลาดเติบโตมากกว่าตลาดต่างจังหวัดและมีแนวโน้มจะเติบโตได้ดีมากขึ้นในอนาคต
ส่วน Green Energy บริษัทมองตลาดแบตเตอรรี่ลิเทียมไอออนหรือแบตเตอรี่เหล็กที่ใช้ในระบบสถานีส่งสัญญาณมือถือโทรศัพท์ไว้และอยู่ในช่วงประเมินว่าคุณภาพได้มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งแบตเตอรี่นี้สามารถใช้ได้ที่อุณหภูมิ 50 องศา ถ้าประเมินคุณภาพผ่านได้ตามมาตรฐาน บริษัทจะมีรายได้เพิ่มเข้ามาอีกประมาณ 200 ล้านบาท
นิตยสารบิส โฟกัส : วิสัยทัศน์เกี่ยวกับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC
คุณอาคม : การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558 จะต้องเตรียมตัวเองในประเทศก่อน โดยทำให้ตัวเองแข็งแรงก่อนแล้วค่อยไปแข่งขันกับต่างประเทศ สำหรับ AEC ตนมองว่าส่งผลดี เนื่องจากทำให้ตลาดเปิดกว้างมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเครือข่ายและสามารถขยายตลาดได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
ส่วนแผนในอนาคตของบริษัทหากจะมีการขยายธุรกิจไปต่างประเทศจะดำเนินการในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ลาว พม่า กัมพูชา เป็นต้น ปัจจุบันบริษัทซื้อซอฟแวร์เข้ามาเพื่อใช้ในองค์กรสำหรับการบริหารลูกค้า โดยเซลล์ที่ออกไปหาลูกค้าจะต้องบันทึกประวัติในแท็บเล็ตเพื่อเก็บไว้เป็นฐานประวัติลูกค้า ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการเพื่อเข้าสู่ AEC ของบริษัท
บอสัน ทูลส์เปิดแผนการลงทุนในไทย
Mr.Yang Sufeng อดีตผู้จัดการทั่วไป บริษัท บอสัน ทูลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตใบเลื่อย ใบตัดอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก โดยขยายฐานการผลิตจากประเทศจีนมายังประเทศไทยให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารบิส โฟกัส เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่มาลงทุนในประเทศไทย งบประมาณในการลงทุน รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้
บิส โฟกัส : วัตถุประสงค์ในการลงทุนในประเทศไทย
Mr.Yang Sufeng : เรามีบริษัทแม่ตั้งอยู่ในประเทศจีนเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ในประเทศจีนและบริษัทได้มีการติดต่อการค้ากับต่างประเทศ เช่น บราซิล สหรัฐอเมริกา แคนนาดา เป็นต้น ซึ่งเป็นสาขาในต่างประเทศ ดังนั้นบริษัทจึงเริ่มมองตลาดในโซนเอเชียและตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเและส่งออกใบมีดจากเพชรเพื่อรองรับลูกค้าในแถบเอเชีย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีตลาดอยู่เฉพาะในยุโรปเท่านั้น
บิส โฟกัส : เหตุผลที่เลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิต
Mr.Yang Sufeng : มี 3 ปัจจัย คือ 1.เรื่องการส่งออกเพราะส่วนใหญ่บริษัทเน้นส่งออกไปยังแถบอเมริกาแต่ถ้าอยู่ในประเทศไทยบริษัทไม่ต้องเสียภาษีเพราะอยู่ในเขตฟรีโซน เนื่องจากบริษัทได้มีการสำรวจในเรื่องภาษีมาแล้ว ประกอบกับประเทศไทยมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาค่อนข้างดีและมั่นคงบริษัทจึงเลือกประเทศไทย
2.เรื่องความพร้อมของอุตสาหกรรมโรงงาน โดยอุตสาหกรรมในประเทศไทยมีความพร้อมในเรื่องของระบบในด้านสาธารณูปโภคของน้ำและไฟฟ้าดี 3. เนื่องจากมีโรงงานจากจีนมาลงทุนที่ประเทศไทยจำนวนมาก ดังนั้นจึงตัดสินใจมาลงทุน นอกจากนี้ความสัมพันธ์ในด้านการลงทุนที่ดีของไทยและจีนทำให้นักลงทุนในจีนเลือกมาลงทุนที่ประเทศไทยมากกว่าประเทศอื่นทั้งหมดนี่คือเหตุผลที่เลือกสร้างโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง
บิส โฟกัส : ใช้งบประมาณในการลงทุนจำนวนเท่าใด
Mr.Yang Sufeng : ใช้งบประมาณในการลงทุน 1,195 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นค่าเครื่องจักร 200 ล้านบาท
บิส โฟกัส : โรงงานของบอร์สัน ทูลส์ตั้งอยู่ในประเทศใดบ้าง
Mr.Yang Sufeng : ตั้งอยู่ที่ประเทศจีนและประเทศไทย โดยบริษัทกำลังขยายฐานการผลิตที่ประเทศจีนมาที่ประเทศไทยเพื่อที่จะส่งออกไปประเทศในยุโรปซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับบริษัท อาทิ อเมริกา แคนาดา บราซิล เป็นต้น
บิส โฟกัส : รายละเอียดของบริษัทเบื้องต้น
Mr.Yang Sufeng : บริษัทตั้งอยู่ในนิคมที่เป็นเขตฟรีโซนซึ่งไม่เสียภาษีและกรมแรงงานสนับสนุนในการจัดหาแรงงานให้กับบริษัท โดยบริษัทมีพนักงานประมาณ 140 คน ซึ่งเป็นคนจีนประมาณ 50 คน ส่วนที่เหลือแเป็นคนไทยทั้งหมด
ด้านการผลิตของบริษัท ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องจักรในการผลิตมากกว่าใช้แรงงานคน โดยเครื่องจักรส่วนใหญ่ของบริษัทนำเข้ามาจากประเทศจีนที่เป็นบริษัทแม่ ซึ่งพนักงานจีนจะเทรนงานให้กับพนักงานไทย โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี จึงจะกลับประเทศ
รพ.สงฆ์เดินหน้าบูรณาการด้านบริการอย่างเต็มศักยภาพ
โรงพยาบาลสงฆ์เดินแผนพัฒนาด้านการบริการอย่างเต็มรูปแบบ มุ่งทำวิจัยด้านอาหารเพื่อให้พระสงฆ์ปฏิบัติได้จริงและได้รับประโยชน์สูงสุด พร้อมเตรียมรับ AEC เล็งช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านที่ขาดแคลนเทคโนโลยีทางการแพทย์
นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ เปิดเผยเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานของโรงพยาบาลว่าปัจจุบันพระสงฆ์จะขาดการดูแลในเรื่องการออกกำลังกาย สารอาหารต่างๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่นำมาสู่โรคเรื้อรังต่างๆ หลายอย่าง โดยที่ผ่านมาโรงพยาบาลพยายามให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพเป็นระยะๆ แต่จะพบปัญหาคือไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงต้องหาแนวทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
โดยจะต้องมีการวิจัยเชิงระบบซึ่งจะร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเจรจาเพื่อขอความร่วมมือเพื่อทำวิจัยในเรื่องสุขภาพของพระสงฆ์ โดยจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เพื่อกำหนดให้มีในพระวินัยของสงฆ์เพื่อให้ท่านปฏิบัติได้จริง ซึ่งจะต้องมีการวิจัยมารองรับก่อนจึงจะดำเนินการได้ สำหรับตัวอย่างการทำวิจัยอาจจะเลือกวัดต้นแบบมา 1 วัด ที่มีความพร้อมทั้งด้านการปกครองและพระสงฆ์เพื่อให้ความร่วมมือกับทางโรงพยาบาล
“แผนเบื้องต้นที่จะดำเนินการคือเมื่อพระสงฆ์ท่านไปบิณฑบาตมาแล้วนำอาหารมารวมกันแล้วก็ฉันแบบนั้นเลย ซึ่งส่งผลให้พระสงฆ์บางรูปที่เป็นโรคไม่สามารถเลือกฉันอาหารได้ เราจะจัดให้มีแกนนำพระในเรื่องของสุขภาพที่ทราบว่าพระสงฆ์รูปไหนเป็นโรคอะไร โดยจะจัดอาหารที่มีความเหมาะสมกับท่าน ดังนั้นจึงต้องมีงานวิจัยเพื่อมารองรับเพื่อให้พระสงฆ์ปฏิบัติได้จริงอย่างเป็นรูปธรรมและเพื่อเป็นตัวอย่างให้ดำเนินตามในเรื่องสุขภาพ” นพ.วีรวุฒิกล่าว
โดยคาดว่าจะดำเนินการทำวิจัยในงบประมาณของปีนี้ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2556 สำหรับการทำวิจัยจะต้องดำเนินการหาผู้ที่จะมาเข้าร่วมการจัดทำวิจัย รูปแบบการทำวิจัย แต่เบื้องต้นโรงพยาบาลมีโครงการที่เป็นฐานข้อมูลไว้แล้ว อาทิ เรื่องฐานข้อมูลสุขภาพพระสงฆ์ระดับชาติ จำนวนพระสงฆ์ เป็นต้น
นพ.วีรวุฒิกล่าวต่อถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 ว่าจะเน้นให้บริการพระสงฆ์ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคอาเซียน อาทิ ลาว พม่า กัมพูชา ภูฏาน เป็นต้น โดยที่ผ่านมาจะมีพระสงฆ์เข้ามารับการรักษากับโรงพยาบาลอยู่แล้ว แต่เมื่อ AEC เข้ามาคงต้องทำให้เป็นระบบมากขึ้นในเรื่องการเบิกจ่ายต่างๆ รวมทั้งจะนำเงินจากที่ได้รับการบริจาคไปสนับสนุนในส่วนที่ขาด เช่น ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ต่างๆ ค่าอุปกรณ์ เป็นต้น
“ ที่ผ่านมาเราจะดูแลพระสงฆ์ที่มาจากต่างประเทศที่เข้ามารับการรักษา โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ปัจจุบันจะให้วัดที่เป็นผู้ดูแลเป็นเจ้าภาพในการที่เชิญมาเป็นคนดูแลในเรื่องค่าใช้จ่ายเนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงต้องมีระบบมากขึ้น เมื่อเข้าสู่ AEC จึงต้องเข้าไปดูแลในส่วนนี้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยอาจจะเป็นการติดต่อระหว่างสำนักพระพุทธศาสนาระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ในกรณีที่มีพระสงฆ์เดินทางเข้ามารักษาอาการการเจ็บป่วยว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรบ้างและจะเป็นรูปแบบไหน” นพ.วีรวุฒิกล่าว
ส่วนด้านอื่นๆ จะเป็นงานเชิงรุก โดยโรงพยาบาลจะเข้าไปดำเนินการช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านที่ยังขาดในเรื่องเทคโนโลยีทางการแพทย์และการรักษาพยาบาลดูแลสุขภาพของพระสงฆ์ โดยเฉพาะประเทศที่มีพระสงฆ์จำนวนมาก เช่น พม่า ลาว กัมพูชา เนื่องจากประเทศเหล่านี้ยังขาดการดูแลรักษาพระสงฆ์อย่างเป็นระบบ ดังนั้นโรงพยาบาลต้องการที่จะเข้าไปดูแลเพื่อช่วยเหลือ
“เราน่าจะมีโอกาสเข้าไปช่วยประสานในแต่ละประเทศว่าต้องการให้เราเข้าไปช่วยในด้านไหนได้บ้าง เช่น ช่วยในเรื่องการออกหน่วย เรื่องตา หู คอ จมูก หรือเรื่องสุขภาพโดยรวม ซึ่งต้องดูว่าพระสงฆ์ในประเทศนั้นเจ็บป่วยด้วยโรคอะไรเยอะ เราจะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ถูกต้อง ซึ่งเป็นแผนที่วางไว้เพื่อที่จะดำเนินการต่อไป” นพ.วีรวุฒิกล่าว
นพ.วีรวุฒิกล่าวต่อถึงหลักในการบริหารงานว่าองค์กรต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นจึงอยากฝากถึงแพทย์รุ่นหลานและบุคลากรทางการแพทย์ให้นึกถึงส่วนรวมก่อนเสมอในการทำงานเพื่อให้องค์กรเดินไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมทั้งส่วนรวมได้รับประโยชน์สูงสุด จากนั้นจึงค่อยนึกถึงตัวเองทีหลัง ทั้งหมดนี้เป็นหลักการใหญ่ๆ ที่ต้องทำเพื่อส่วนรวมและตนได้ปฏิบัติในการดำเนินงานมาโดยตลอด
“อยากให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนพึงปฏิบัติถึงส่วนรวมก่อนส่วนตนเนื่องจากเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการดำเนินงานด้านการแพทย์ และควรนึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมว่าจะได้รับอะไรกลับไปให้มากที่สุดเพื่อให้คนไข้ที่มารับการดูแลรักษาจากเราได้รับประโยชน์สูงสุดแล้วค่อยมานึกถึงประโยชน์ส่วนตนทีหลัง” นพ.วีรวุฒิกล่าว
โนโวเทล กรุงเทพฯ บางนา ควักกระเป๋า 200 ลบ.รีโนเวทครั้งใหญ่
โนโวเทล บางนา จัดเต็มอัดงบ 200 ลบ .เดินหน้ารีโนเวทในทุกๆ ด้านหนุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ปลื้มกระแสตอบรับจากลูกค้าดีต่อเนื่อง วางเป้ารายปีนี้โตเพิ่มจากปีที่ผ่านมา 7%
คุณประเสริฐ บุญชู ผู้จัดการใหญ่ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพฯ บางนา เปิดเผยว่าโรงแรมได้ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาทสำหรับการรีโนเวทในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะโครงการ CSR ซึ่งเป็นนโยบายที่ทาง ACCOR GROUP ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และในปัจจุบันโนโวเทล บางนา เป็นโรงแรมเพียงแห่งเดียวในเครือ ACCOR GROUP ที่ได้รับแพลตตินั่มจากเอิร์ทเช็คด้านสิ่งแวดล้อม
สำหรับวัตถุประสงค์ในการดำเนินการเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันมากยิ่งขึ้น เนื่องจากขณะนี้คู่แข่งธุรกิจโรงแรมในย่านบางนาจากอดีตที่มีพียง 1-2 รายได้เพิ่มเป็น 5-6 ราย ส่งผลให้การแข่งขันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับถึงเวลาที่ต้องดำเนินการ เพราะเปิดให้บริการเกิน 15 ปีแล้ว ดังนั้นภาพลักษณ์ในปัจจุบันค่อนข้างเก่า เนื่องจากไม่ได้มีการปรับปรุงหรือตกแต่งใหม่ รวมทั้งงานระบบหรือตัวโปรดักส์เองย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา เช่น สีของตัวตึกที่เก่าและร่อน เป็นต้น
ทั้งนี้โรงแรมได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จคือการรีโนเวทบอยเลอร์จากการใช้น้ำมันเตาในห้องซักรีด โดยเปลี่ยนมาใช้แอลพีจีแทน ส่วนโครงการที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการคือระบบการรั่วซึมใหม่หมดทั้งอาคาร โดยได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 50% รวมทั้งโครงการพร็อพเพอร์ตี้ อิมเมจ เช่น การทาสีตัวตึกภายนอกใหม่ทั้งหมดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่โรงแรม ขณะนี้ใกล้เสร็จ 100% แล้ว ส่วนโครงการพร็อพเพอร์ตี้ อิมเมจลำดับต่อไปได้แก่การม๊อกอัพรูมและม๊อกอัพ ฟลอร์ ซึ่งมีแผนจะเริ่มดำเนินการในราวต้นเดือนตุลาคมนี้
นอกจากนี้ยังมีโครงการรีโนเวทระบบท่อน้ำ โดยจะเปลี่ยนเป็นท่อน้ำที่ไม่ก่อให้เกิดสภาวะเป็นสารพิษ เพราะท่อน้ำเมื่อใช้ไปนานๆ จะมีสารพิษเกิดขึ้นในท่อ และโครงการรีโนเวทป้ายโรงแรมหรือโลโก้ โดยจะทาสีใหม่ให้เข้มขึ้น และในอนาคตจะปรับเปลี่ยนโลโก้ให้เป็นมาตรฐานของโนโวเทล เช่นเดียวกับโรงแรมโนโวเทล แพลตตินั่ม ซึ่งในปัจจุบันได้วางตัวอักษรเป็นแนวนอน
“การดำเนินการทุกอย่างจะอยู่ภายใต้ Concept ของ โนโวเทล หรือ “Novotel Next” ส่วนงบลงทุน 200 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของโครงการที่เกี่ยวข้องกับ CSR 30% ส่วนที่เหลือ70% จะใช้ในส่วนของโครงการพร็อพเพอร์ตี้ อิมเมจ เราวางแผนที่จะปรับปรุงห้องพักโดยเริ่มจากฟลอร์ 12 ซึ่งมีทั้งหมด 26 ห้องเป็นอันดับแรก คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 3-4 เดือน หลังจากนั้นจะทยอยรีโนเวทฟลอร์อื่น ๆ ตามลำดับ ซึ่งในปีหน้าจะดำเนินการได้ประมาณ 3 ฟลอร์ คาดว่าจะใช้เวลาในการรีโนเวทห้องพักเสร็จครบทุกฟลอร์ภายใน 3 ปี เราไม่ต้องการปิดรีโนเวทห้องพักทุกฟลอร์ในครั้งเดียว เพราะต้องเปิดให้บริการและสร้างรายได้ควบคู่กันไป” คุณประเสริฐกล่าว
คุณประเสริฐกล่าวต่อว่าโนโวเทล บางนาเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวและบริหารงานโดย ACCOR GROUP ในปีนี้โรงแรมก้าวสู่ปีที่ 19 โดยได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศเป็นอย่างดี เนื่องจากมีด้านทำเลที่ดีมาก โดยตั้งอยู่บนถนนศรีนครินทร์ตัดกับถนนบางนา-ตราด ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น นิคมอุตสาหกรรมบางพลี นิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในละแวกบางปะกง ฉะเชิงเทรา ศรีราชา ระยอง เป็นต้น ซึ่งสามารถตอบโจทย์ลูกค้าในรัศมีโดยรอบได้เป็นอย่างดี
สำหรับลูกค้าของโรงแรมจะเป็นคนทำงานอายุประมาณ 25-45 ปี โดยสัดส่วนลูกค้าระหว่างชาวไทยและชาวต่างชาติจะอยู่ที่ 10:90 แบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักคือ Corporate (นักธุรกิจ) 80% อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน อังกฤษ เยอรมัน อเมริกัน ฯลฯ ส่วนที่เหลืออีก 20% จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากประเทศจีน อย่างไรก็ตามโรงแรมค่อนข้างที่จะสกรีนกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการ เพราะเป็น Corporate Hotel และไม่ต้องการให้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้าหลัก โดยจะขายห้องสูงสุดไม่เกิน 50 ห้อง/เดือน
“จุดเด่นของโรงแรมคืออาหาร โดยเฉพาะอาหารเช้าซึ่งนับว่าสำคัญมากที่สุด โดยโนโวเทล บางนาได้รับการโหวตจาก Trip Adviser ให้เป็นอันดับหนึ่งที่มีอาหารดีที่สุดของ ACCOR GROUP ส่วนการบริการจะอยู่ในระดับมาตรฐานอยู่แล้ว นอกจากนี้เรายังคำนึงถึง Service Standard ทั้งในด้าน Safety และทรัพย์สินของลูกค้าอีกด้วย” คุณประเสริฐกล่าว
ส่วนแนวโน้มการดำเนินธุรกิจคาดว่าจะยังคงไปได้ดี โดยครึ่งปีแรกของปี 2555 ที่ผ่านมา โรงแรมมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มจากปี 2554 ประมาณ 10% นอกจากนี้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ โรงแรมเติบโตเพิ่มจากปีที่ผ่านมาอีก 7% ส่วนเป้ารายได้ทั้งปีจะยังคงไว้ที่ระดับ 7% และคาดว่าจะโตเพิ่มค่อนข้างยาก เนื่องจากมองว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายประการ โดยเฉพาะปัญหาจากการเมืองที่ยังไม่แน่นอน
คุณประเสริฐกล่าวในตอนท้ายถึงหลักการบริหารงานที่ส่งผลให้ประสบความสำเร็จว่าจะปฏิบัติตามหลักการของ Accor Philosophy ซึ่งระบุว่าทุกๆ คนจะต้องได้รับเท่ากันในสามส่วนดังนี้คือ Customer, Owner และ Employee โดยจะต้องดูแลทั้งสามส่วนให้ Balance กัน นอกจากนี้จะนำคติของคนคือ Empathy หรือ ”การเอาใจเขามาใส่ใจเรา” มาใช้ในการทำงานอีกด้วย