“เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้” เดินหน้าด้วยภาพลักษณ์ใหม่

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

“เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้” เดินหน้าด้วยภาพลักษณ์ใหม่ มั่นใจปี 65 รายได้โต 200%  

บมจ.เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ (KC) ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบด้วยคุณภาพกว่า 40 ปี เตรียมรับความปัง หลังรีแบรนด์ปรับโครงสร้างองค์กร ปี 65 เน้นบุกโครงการแนวราบต่อเนื่อง พร้อมเสริมภาคบริการ คาดรายได้เติบโต 200%

          คุณสันติ ปิยะทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KC หนึ่งในผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตอย่างมั่นคง กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน มีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ทั้งการยกระดับในเชิงคุณภาพ การประชาสัมพันธ์เชิงรุก การโฆษณา ตลอดจนการให้ข้อมูลอย่างถูกต้องแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าหรือนักลงทุน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง ต่อความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงทางธุรกิจ สำหรับ KC ได้มองเห็นความสำคัญในส่วนนี้ จึงได้มีการรีแบรนด์ ปรับโครงสร้างองค์กรในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

โดยการรีแบรนด์ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของ KC เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างผู้ถือหุ้น คณะกรรมการบริษัท ตลอดจนผู้บริหารระดับสูง รวมไปถึงภาพลักษณ์ของบริษัท ซึ่งบริษัทต้องการ Refresh องค์กรออกจากภาพลักษณ์และความรู้สึกเดิมๆ ตลอดจนต้องการสร้างความตื่นตัวในการทำงานให้กับพนักงานที่ทำงานอยู่ และพนักงานใหม่ ให้เกิดมิติของการทำงานร่วมกันในองค์กร อีกทั้งบริษัทยังปรับเปลี่ยนโลโก้ของบริษัทจากเดิมที่ใช้มากว่า 40 ปี ให้ทันสมัยขึ้นเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายขึ้น และเป็นการขยายขอบเขตการตลาดให้ทั่วถึงด้วย

          คุณสันติ กล่าวต่อว่า สำหรับเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ เรายังคงมุ่งพัฒนาอสังหาฯ แนวราบเป็นหลัก โดยการพัฒนาสินค้าที่มีอยู่เดิมเพื่อขยายตลาดและฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในทุกเจเนอเรชั่น และทุกเซ็กเม้นท์ อาทิ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น และบ้านเดี่ยวชั้นเดียว ระดับราคา 3-15 ล้านบาท ทาวน์โฮม ระดับราคา 1-2 ล้านบาท และอาคารพาณิชย์ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท รวมถึงสินค้าใหม่ๆ ในอนาคต โดยใช้ความเชี่ยวชาญและชำนาญในการสร้างที่อยู่อาศัยมาผสมผสานกับการใช้ประโยชน์ในด้านธุรกิจและอื่นๆ

สำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านจัดสรรถือเป็นจุดแข็งของบริษัทและสอดคล้องกับทิศทางของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยในยุคปัจจุบัน อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ซึ่งในการพัฒนาโครงการเราจะใช้ที่ดินที่มีและมองหาที่ดินที่มีศักยภาพในการรองรับความเจริญในอนาคต เพื่อการพัฒนาขยายตลาดแนวราบ จับกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นหลัก ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง เช่น การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวที่เน้นกลุ่มลูกค้าระดับบนในราคา 8-16 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อสูง โดยปัจจุบันบริษัทมีประเภทบ้านจัดสรรที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าตั้งแต่ระดับราคา 1-16 ล้านบาท รวมถึงจะเน้นให้ความสำคัญในเรื่องของเทคโนโลยี และฟังก์ชั่น เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างแท้จริง โดยปี 2565 นี้คาดว่าธุรกิจจะเติบโตสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 200% หรือประมาณ 380 ล้านบาท เมื่อเทียบกับรายได้ในปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจในภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมต่อไปในปี 2566 เช่น การให้บริการตกแต่งต่อเติมบ้านใหม่และซ่อมแซมบ้านเก่า การให้บริการออกแบบและเขียนแบบโครงการเฉพาะทางแก่กลุ่มลูกค้าใหม่ที่ต้องการเริ่มธุรกิจโครงการต่างๆ การบริหารงานก่อสร้างโครงการ การประสานงาน การดำเนินโครงการเฉพาะทาง โครงการด้านงานนิติบุคคลและการดูแลสภาพแวดล้อมโครงการ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

          “อย่างไรก็ตาม การซื้ออสังหาริมทรัพย์ จะมีนโยบายการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ซึ่งนโยบายนี้ช่วยเหลือประชาชนได้แค่เฉพาะบางกลุ่ม เนื่องจากในปัจจุบันต้นทุนของผู้ประกอบการปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้ยากที่จะพัฒนาสินค้าที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านได้ ส่งผลให้นโยบายดังกล่าวไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนระดับกลางขึ้นไป ที่เป็นพนักงานเงินเดือนและเป็นผู้จ่ายภาษีหลักให้แก่รัฐบาล ซึ่งกลุ่มนี้ยังต้องรับภาระในการจ่ายค่าธรรมเนียมเต็มจำนวน หากรัฐบาลปรับมูลค่าที่อยู่อาศัยจากเดิมไม่เกิน 3 ล้านบาทให้เป็นไม่เกิน 6 ล้านบาท จะสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยได้มากกว่านี้ และหากมีความกังวลว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะลดลงก็สามารถปรับเพิ่มอัตราค่าธรรมเนียมในที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าเกิน 20 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ก็น่าจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นได้” คุณสันติกล่าวทิ้งท้าย

www.kcproperty.co.th